ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ED เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ชาย พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนและวัยสูงอายุ โดยสาเหตุหลักๆ ของ ED เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศชาย ความผิดปกติของฮอร์โมน และโรคประจำตัว ซึ่งการรักษาภาวะ ED หรือนกเขาไม่ขันมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค เช่น การใช้ยา การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ การใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู การใช้ Stem Cell หรือ เซลล์ต้นกำเนิดรักษาสมรรถภาพเพศชาย ไปจนถึงการผ่าตัด
ในปัจจุบันเราจะเริ่มได้ยินเรื่องการใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์บำบัด (Stem Cell Therapy) มาใช้ในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED: Erectile Dysfunction) กันมากขึ้น หลายๆที่มีการทำการตลาดกันอย่างหนัก และมีการอ้างถึงประสิทธิภาพของเซลล์บำบัดว่าคือยาวิเศษที่ไร้ข้อจำกัดในการรักษา สามารถทำให้อวัยวะเพศกลับมาแข็งได้
แต่ในความเป็นจริง สเต็มเซลล์ ก็มีข้อจำกัดเหมือนวิธีการรักษาอื่นๆ ซึ่งมีทั้งผู้ที่รับผลลัพธ์ดีและผู้ที่ไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากนัก ขึ้นอยู่กับสภาวะของร่างกายในแต่ละบุคคล ฉะนั้นการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง
เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเซลล์ที่มีความพิเศษ เนื่องจากมีความสามารถในการแบ่งตัวได้โดยไม่จำกัดและสามารถแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ของร่างกายได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการนำมาใช้ในด้านแพทย์ทางเลือกและเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Regenerative Medicine) อย่างแพร่หลาย
การวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) ที่ถูกพูดถึงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการทดลองในสัตว์ เช่น หนู โดยมักจะใช้วิธีการวัดผลจากการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อและชีวเคมีต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถตีความผลลัพธ์ในมิติของการใช้งานจริงได้อย่างแท้จริง เช่น ประสิทธิภาพในการมีเพศสัมพันธ์ ระดับความแข็งแรงของอวัยวะเพศ หรือผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสอดใส่ อีกทั้งการทดลองในมนุษย์ที่มีการวัดผลจากการใช้งานจริงยังมีจำนวนค่อนข้างน้อย กลุ่มตัวอย่างไม่มาก และยังไม่ได้มีการทดลองที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (Randomized Controlled Trial) เพื่อให้การวิจัยมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น
การรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) ด้วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลไกการทำงาน แต่มีสมมติฐานบางส่วนที่ได้รับความสนใจว่า ผลลัพธ์อาจจะเกิดจากการหลั่งโกรท แฟคเตอร์ (Growth Factor) และสารต้านการอักเสบต่างๆ (Anti-Inflammatory substances) โดยสมมติฐานดังกล่าวมาจากกลไก 4 ข้อดังนี้
งานวิจัยอีกชิ้นที่น่าสนใจตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2016 ใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จากไขกระดูก (BMSC) ปริมาณตั้งแต่ 20 ล้านเซลล์ขึ้นไป รักษาคนไข้ที่เป็น ED หลังการผ่าตัดต่อมลูกหมาก (Radical Prostatectomy) จำนวน 12 คน พบว่าที่ 6 เดือน ค่าดัชนีการแข็งตัว (International Index of Erectile Function) ดีขึ้นจาก 7.3 คะแนน เป็น 17.4 คะแนน และผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า 1 ปี (https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/26439886/)
สำหรับสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ที่ได้จากเนื้อเยื่อไขมัน (ADSC) มีงานวิจัย 2 ชิ้นที่น่าสนใจ ดังนี้
ชิ้นแรกทำโดยทีมจากประเทศสเปน ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2015 ใช้ปริมาณ 15 ล้านเซลล์ รักษาผู้ป่วย ED จากเบาหวาน จำนวน 6 คน ช่วงอายุ 55-81 ปี พบว่า 4 ใน 6 คน มีการแข็งตัวตอนเช้าหลังผ่านไป 2 เดือน แต่ระดับการแข็งตัวไม่มากพอจะใช้สอดใส่ได้ เมื่อใช้ยาช่วย (PDE5i) 3 ใน 6 คน สามารถสอดใส่และเสร็จได้ นานมากกว่า 6 เดือนหลังรักษา (2015 by Garber et al.)
ชิ้นที่สองทำโดยทีมจากประเทศเดนมาร์ก ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2016 รักษาคนไข้ที่เป็น ED หลังการผ่าตัดต่อมลูกหมาก (Radical Prostatectomy) จำนวน 17 คน พบว่าที่ 8 ใน 17 คน สามารถกลับมามีเพศสัมพันธ์ได้
(https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/27077129/)
**ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานวิจัย https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC9963846/#B51-life-13-00502
กลุ่มคนไข้ ED ที่มีข้อมูลงานวิจัยรองรับว่าอาจจะมีศักยภาพในการใช้สเต็มเซลล์ได้คือ
กลุ่มที่ 1: คนที่เป็น ED เนื่องจากโรคเบาหวาน
กลุ่มที่ 2: คนที่เป็น ED ร่วมกับอาการของ Metabolic Syndrome (ระบบการเผาผลาญในร่างกายผิดปกติ) เช่น อ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกิน เบาหวาน ไขมันสูง ความดันโลหิตสูง
กลุ่มที่ 3: คนที่เป็น ED หลังผ่าตัดต่อมลูกหมาก (โดยที่ยังคงสามารถควบคุมการปัสสาวะได้)
ทั้งนี้กลุ่มที่มีอาการ ED มาจากวัยทองหรือภาวะพร่องฮอร์โมน (Andropause) จากภาวะจิตวิทยา (Psychogenic ED) หรือจากการติดเชื้อและการอักเสบต่างๆ ของทางเดินปัสสาวะ ยังไม่มีข้อมูลทางการวิจัยที่รองรับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ จึงไม่สามารถสรุปได้ว่าการใช้สเต็มเซลล์จะช่วยได้ในกรณีเหล่านี้ได้
งานวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์มีขนาดเล็กและมีกลุ่มตัวอย่างน้อย ส่วนใหญ่ไม่เกิน 10 คน ทำให้ผลลัพธ์ไม่สามารถยืนยันได้อย่างเป็นทางการ
ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่าผลลัพธ์เริ่มเห็นได้หลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป
แน่นอนว่าผลลัพธ์ไม่คงที่ตลอดไป งานวิจัยส่วนใหญ่รายงานว่าสามารถอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน และบางงานวิจัยบอกว่าสามารถอยู่ได้นานกว่าหนึ่งปี
การใช้จำนวนเซลล์ในการรักษา อยู่ที่ประมาณ 15 ล้านเซลล์ขึ้นไป แต่ในการปฏิบัติจริง อาจมีการปรับเปลี่ยนตามงบประมาณหรือเหตุผลอื่น ซึ่งสามารถใช้วิธีการรักษาอื่นร่วมได้ตามความเหมาะสม
ยังไม่มีการวิจัยเปรียบเทียบการรักษาด้วยสเต็มเซลล์กับวิธีการอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถสรุปได้ว่าการใช้สเต็มเซลล์ดีกว่าวิธีการรักษาอื่นหรือไม่
ควรพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุของอาการ ED ว่าเกิดจากสาเหตุใด ซึ่งส่วนใหญ่สามารถใช้วิธีการรักษามาตรฐานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการใช้สเต็มเซลล์ และได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน
ควรใช้วิธีมาตรฐานในการรักษาก่อน เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ส่งผลต่อสุขภาพ (Lifestyle modification), การควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิต การรักษาด้วยยา, การฟื้นฟูด้วยช็อคเวฟ (Shockwave Therapy), การใช้ P-Shot, การให้ฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement) เป็นต้น
หากหลังจากการประเมินจากแพทย์แล้วพบว่าไม่สามารถรักษาด้วยวิธีมาตรฐาน หรือเคยรักษาด้วยวิธีมาตรฐานและวิธีอื่นแล้ว แต่ได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ และยังมีความต้องการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาภาวะ ED ก็สามารถพิจารณาได้ โดยให้ความสำคัญกับข้อมูลและความเหมาะสมของการฉีดสเต็มเซลล์ เนื่องจากวิธีการนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
นพ.ธนาคม สุขเจริญ
แพทย์ด้านสุขภาพเพศ และแพทย์เฉพาะทาง Preventive Medicine
ประจำ Max Wellness Clinic
หากท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการสอบถาม ท่านสามารถกรอกรายละเอียดทางด้านล่าง ทางเราจะติดต่อกลับไปโดยเร็วที่สุด
All rights reserved © 2024 Max Wellness Clinic