สเต็มเซลล์: บทบาท กลไกการเสื่อมสภาพ และวิธีชะลอความเสื่อม

ก่อนอื่นต้องขออธิบายก่อนนะครับว่า สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดคืออะไร สเต็มเซลล์คือเซลล์ที่มีอยู่แล้วในร่างกายของมนุษย์ทุกคน เปรียบเสมือน “ช่างซ่อม” ประจำร่างกาย ที่มีความสามารถพิเศษสามารถแปลงร่างเป็นเซลล์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นเซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก เซลล์กล้ามเนื้อ หรือแม้กระทั่งเซลล์ประสาท

บทบาทของสเต็มเซลล์

สเต็มเซลล์มีความสามารถเป็น “ช่างซ่อม” ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอเสียหาย ดังนั้นสเต็มเซลล์จึงมีความสำคัญในการช่วยฟื้นฟูและทำให้อวัยวะและระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ นอกจากนี้ยังมีหน้าที่ในการช่วยชะลอความแก่ชราอีกด้วย

เมื่อเรามีอายุมากขึ้น สเต็มเซลล์จะเริ่มสูญเสียความสามารถในการแบ่งตัวและแปลงสภาพเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ ทำให้ร่างกายของเราเกิดความเสื่อมและแก่ตัวลง

กลไกการเสื่อมสภาพของสเต็มเซลล์

มีด้วยกันหลักๆ สามกลไก คือ

  1. การเสื่อมสภาพของโครงสร้างสารพันธุกรรมหรือ DNA และการสั้นลงของส่วนปลาย Chromosome ที่เรียกว่า Telomere อันเกิดจากการแบ่งตัวซ้ำ ๆ ของเซลล์
  2. การเสื่อมสภาพของ Mitochondria ที่ทำหน้าที่เสมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ (Power house of cell)
  3. การเปลี่ยนแปลงของ Microenvironment ซึ่งคือตัวสภาพแวดล้อมที่เปรียบเสมือนรังที่อยู่และพี่เลี้ยงของสเต็มเซลล์

ซึ่งทั้งสามกลไกนี้จะเกิดขึ้นมากหรือน้อย ช้าหรือเร็ว นอกจากกรรมพันธุ์และปัจจัยภายในแล้วยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก คือ สภาพแวดล้อม และรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) ของเราด้วย

6 สาเหตุที่ทำให้สเต็มเซลล์เสื่อมสภาพเร็ว

  1. การมีระดับการอักเสบที่สูง และมีสารอนุมูลอิสระในร่างกายมาก
  2. การสัมผัสสารพิษต่างๆ จากสภาพแวดล้อม เช่น โลหะหนัก พลาสติก ยาฆ่าแมลง และมลพิษ เช่น ฝุ่น PM 2.5
  3. อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่นอาหารแปรรูป อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูง
  4. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย
  5. ความเครียด การพักผ่อนน้อย ขาดการออกกำลังกาย
  6. การเปลี่ยนแปลงสมดุลของ Microbiome ซึ่งคือแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ร่วมกับร่างกายของมนุษย์ เช่น แบคทีเรียในลำไส้

4 วิธีชะลอความเสื่อมและคงสมรรถภาพสเต็มเซลล์

จริงอยู่ว่าเราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของเราได้ แต่เราสามารถเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและรูปแบบการใช้ชีวิตของเราได้ ต่อไปนี้คือคำแนะนำ 4 ข้อที่จะชะลอความเสื่อมของสเต็มเซลล์ และทำให้สเต็มเซลล์ของเราคงความสามารถในการซ่อมแซมร่างกายและต่อต้านความชราต่อไปได้นานๆ

  1. เลือกอาหารการกินให้ดี
    • พยายามหลีกเลี่ยงอาหารน้ำตาลสูง ไขมันสูง หรืออาหารแปรรูป อาหารเหล่านี้กระตุ้นให้ร่างกายเกิดการอักเสบ และเกิดความเสียหายต่อโครงสร้าง DNA
    • เลือกทานผักผลไม้ที่ปลูกแบบ organic และปลอดสารพิษ
    • ผักผลไม้บางชนิด เช่น บรอคโคลี, เคล, ดอกกะหล่ำ มีสารที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ในตับ ทำให้ตับกำจัดสารพิษได้ดีขึ้น ซึ่งการที่ร่างกายมีความสามารถในการกำจัดสารพิษออกได้ดี มีส่วนช่วยในการรักษาสมรรถภาพและชะลอความเสื่อมของสเต็มเซลล์
  2. หาวิธีเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระและสารต้านการอักเสบจากแหล่งต่างๆ
    • Omega 3 จาก ปลาแซลมอน, flax seed, walnut หรืออาหารเสริมจำพวก fish oil
    • Catechin จากชาเขียว
    • Anthocyanin จากผักผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่, สตอเบอรี่, ราสเบอร์รี่
  3. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
    • การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการแบ่งตัวของสเต็มเซลล์และการซ่อมแซมกล้ามเนื้อ อีกทั้งยังช่วยลดการอักเสบเรื้อรังของระบบกล้ามเนื้อ
  4. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    • การนอนน้อยกว่า 4 ชั่วโมง จะลดความสามารถในการเคลื่อนตัว (Migration) ของสเต็มเซลล์ลงถึงครึ่งหนึ่ง ควรนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน

สรุป

ทั้งหมดนี้คือสาระความรู้เรื่องสเต็มเซลล์และวิธีชะลอความเสื่อมของ Stem Cell จากทาง Max Wellness Clinic หากท่านใดมีคำถามหรือข้อสงสัยอยากปรึกษาเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัยและสุขภาพทางเพศ สามารถติดต่อเข้ามาที่ Max Wellness Clinic ได้ครับ

นพ.ธนาคม สุขเจริญ
แพทย์ด้านสุขภาพเพศ และแพทย์เฉพาะทาง Preventive Medicine
ประจำ Max Wellness Clinic

แหล่งอ้างอิง

  1. Why stem/progenitor cells lose their regenerative potential
  2. Manifestations and mechanisms of stem cell aging
  3. Factors Influencing Epigenetic Mechanisms: Is There A Role for Bariatric Surgery?
  4. Exercise Promotes Tissue Regeneration: Mechanisms Involved and Therapeutic Scope
  5. Catechins activate muscle stem cells by Myf5 induction and stimulate muscle regeneration

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อพูดถึงการขริบอวัยวะเพศชาย การเลือกวิธีที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขริบแบบ Sleeve, Free Hand หรือ Stapler แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การขริบแบบ Sleeve เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ ขณะที่การขริบแบบ Free Hand อาจเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและไม่ซับซ้อน แต่ต้องการทักษะและความชำนาญของแพทย์สูง ส่วนการขริบแบบ Stapler นั้นโดดเด่นด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ แต่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง การตัดสินใจเลือกวิธีใดควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย ความต้องการของผู้ป่วย และความชำนาญของแพทย์