ภาวะหลั่งเร็ว (Premature Ejaculation หรือ PE) คือความผิดปกติที่ผู้ชายหลั่งน้ำอสุจิเร็วเกินไประหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยที่ไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้ตามต้องการ จนสร้างความไม่พึงพอใจให้แก่ตนเองหรือคู่ของตน ภาวะนี้นับเป็นหนึ่งในปัญหาทางเพศชายที่พบได้บ่อยที่สุด โดยคนทั่วไปอาจเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “หลั่งไว” “ล่มปากอ่าว” หรือ “นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ” ซึ่งล้วนสื่อถึงการถึงจุดสุดยอดหรือการหลั่งที่รวดเร็วเกินไปทั้งสิ้น
อาการหลั่งเร็วสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่:
ภาวะหลั่งเร็วชนิดเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม (Primary หรือ Lifelong PE): หมายถึงภาวะหลั่งเร็วที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ผู้ชายกลุ่มนี้มักหลั่งภายในเวลาประมาณ 1–2 นาทีหลังสอดใส่อวัยวะเพศมาตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ที่มีเพศสัมพันธ์
ภาวะหลั่งเร็วชนิดที่เกิดภายหลัง (Secondary หรือ Acquired PE): คือภาวะหลั่งเร็วที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่เคยมีความสามารถในการควบคุมการหลั่งได้ตามปกติช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้ชายกลุ่มนี้จะเริ่มหลั่งเร็วขึ้นกว่าที่เคยเป็นมากอย่างมีนัยสำคัญ (เช่น จากเดิมเคยหลั่งหลังสอดใส่ได้หลายนาที กลายเป็นหลั่งภายในไม่กี่นาทีหรือน้อยกว่า) และรู้สึกว่าควบคุมการหลั่งไม่ได้เหมือนก่อน
ทั้งสองประเภทนี้มีลักษณะร่วมคือ ผู้ป่วยรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถหน่วงการหลั่งตามต้องการได้และเกิดความกังวลหรือทุกข์ใจกับปัญหานี้ แต่การแบ่งประเภทช่วยให้แพทย์พิจารณาสาเหตุและแนวทางรักษาที่เหมาะสมต่อแต่ละกรณี
ภาวะหลั่งเร็วพบได้บ่อยในเพศชาย มีการสำรวจพบว่าผู้ชายประมาณ 20–30% เคยรายงานว่าตนเองมีปัญหาหลั่งเร็วจนไม่สบายใจ แต่เมื่อใช้เกณฑ์การวินิจฉัยที่เข้มงวด (เช่น พิจารณาเวลาการหลั่งที่สั้นกว่าเกณฑ์ทางคลินิก) จะพบความชุกของภาวะหลั่งเร็วที่เข้าเกณฑ์ทางการแพทย์เพียงประมาณ 3–5% เท่านั้น แม้ตัวเลขความชุกตามนิยามทางคลินิกจะไม่สูงมาก แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่ามีผู้ชายหลายคนได้รับผลกระทบในระดับที่สร้างความกังวลใจอยู่เป็นจำนวนมาก
ผลกระทบต่อชีวิตและความสัมพันธ์: ภาวะหลั่งเร็วส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิตทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ผู้ชายที่มีปัญหานี้อาจรู้สึกสูญเสียความมั่นใจและเกิดความเครียด หรือภาวะซึมเศร้าเนื่องจากความไม่พึงพอใจในสมรรถภาพของตนเอง คู่รักของผู้ที่หลั่งเร็วอาจรู้สึกไม่เต็มอิ่มหรือหงุดหงิด ซึ่งสามารถนำไปสู่ความตึงเครียดในความสัมพันธ์ได้ ในกรณีรุนแรง ปัญหานี้อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในคู่สมรส หรือนำไปสู่การหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์เพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ๆ อย่างไรก็ดี ควรสังเกตว่าคู่รักหลายคนสามารถปรับตัวและเข้าใจปัญหานี้ได้หากมีการสื่อสารที่ดีระหว่างกัน
โดยสรุป ภาวะหลั่งเร็วแม้ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายโดยตรง แต่ส่งผลกระทบทางจิตใจและความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ การเข้ารับคำปรึกษาและรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ที่มีภาวะนี้และคู่ของเขาได้
สาเหตุของภาวะหลั่งเร็วยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในวงการแพทย์ ปัจจุบันเชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลากหลายด้านทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ส่งผลร่วมกัน ภาวะหลั่งเร็วชนิดเป็นมาตั้งแต่แรกเริ่ม (Lifelong PE) มักเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางชีวภาพและพันธุกรรม ในขณะที่ชนิดเกิดภายหลัง (Acquired PE) มักสัมพันธ์กับปัจจัยทางร่างกายที่เกิดขึ้นใหม่หรือปัจจัยทางจิตใจ สังคมบางอย่าง แนวทางสากลอย่างของสมาคมระบบทางเดินปัสสาวะแห่งยุโรป (EAU) และสมาคมวิทยาศาสตร์เพศสากล (ISSM) ได้ระบุปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องไว้หลากหลาย สามารถสรุปได้ดังนี้
ปัจจัยทางชีวภาพ หรือร่างกาย:
ความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง โดยเฉพาะสารเซโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งมีบทบาทในการยับยั้งการหลั่ง หากระดับหรือการทำงานของเซโรโทนิน (Serotonin) น้อยกว่าปกติอาจทำให้การหลั่งเกิดขึ้นไวขึ้น ส่วนสาเหตุที่ทำให้สารเซโรโทนินต่ำนั้นยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีข้อมูลที่น่าสนใจพบว่า มีพันธุกรรมหรือความผิดปกติในยีนที่เกี่ยวข้องกับระบบเซโรโทนินและโดปามีนในสมองของผู้ที่มีภาวะนี้สูงกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง ซึ่งบ่งชี้ว่า กรรมพันธุ์ อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้บางคนมีแนวโน้มหลั่งเร็วมาตั้งแต่แรก
ความไวที่ปลายองคชาตเกินปกติ เนื่องจากปลายประสาทรับความรู้สึกไวต่อการกระตุ้นมากเกินไป
ความผิดปกติของระดับฮอร์โมนบางชนิด เช่น ไทรอยด์ฮอร์โมนสูงเกินไป ฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนสูง ฮอร์โมนโปรแลคตินต่ำ และการอักเสบของต่อมลูกหมากหรือโรคของต่อมลูกหมากบางชนิด เช่น ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง ก็มีรายงานว่าพบร่วมกับผู้ที่มีปัญหาหลั่งเร็วได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการค้นพบความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมกับภาวะหลั่งเร็วในบางราย
ปัจจัยด้านจิตใจและอารมณ์:
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสมรรถภาพทางเพศ (performance anxiety) เป็นปัจจัยที่พบได้บ่อย ผู้ชายที่กังวลว่าจะทำให้คู่พึงพอใจไม่ได้ หรือกังวลกับการรักษาการแข็งตัวของตนอาจเกิดความตื่นเต้น หรือกดดันตนเองจนหลั่งเร็วขึ้น
ภาวะเครียดและซึมเศร้า ความเครียดในชีวิตประจำวันหรือภาวะซึมเศร้าทำให้การควบคุมการตอบสนองทางเพศแย่ลง
ประสบการณ์ทางเพศในอดีตที่ไม่ดี หรือการถูกล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก สามารถส่งผลทางจิตใจระยะยาวต่อการควบคุมการหลั่งได้เช่นกัน
ปัญหาความสัมพันธ์หรือความขัดแย้งกับคู่รัก รวมถึงการขาดความเข้าใจหรือความสนิทใจระหว่างคู่ ก็อาจทำให้เกิดความกังวลใจขณะมีเพศสัมพันธ์และนำไปสู่การหลั่งเร็วได้
ปัจจัยอื่น ๆ และโรคร่วม: ภาวะหลั่งเร็วชนิดที่เกิดภายหลังมักสัมพันธ์กับปัจจัยทางสุขภาพหรือโรคบางอย่างที่เกิดขึ้นใหม่ได้
โรคหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction – ED) เป็นตัวอย่างหนึ่งที่พบบ่อย ผู้ชายที่มีปัญหา ED มักเกิดภาวะหลั่งเร็วร่วมด้วย เนื่องจากมีความกังวลว่าจะสูญเสียการแข็งตัวจึงเผลอเร่งถึงจุดสุดยอดเร็วขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ซึ่งในกรณีนี้การรักษา ED จะช่วยบรรเทาปัญหาหลั่งเร็วลงได้ด้วย (แนวทาง EAU/AUA แนะนำให้รักษา ED ที่เป็นโรคร่วมควบคู่กันไปก่อน)
โรคเบาหวาน หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิกและโรคอ้วน
โรคต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง
การนอนหลับไม่เพียงพอเรื้อรัง
การขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ
การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
สาเหตุของภาวะหลั่งเร็วเป็นแบบหลายปัจจัย ทั้งด้านชีวภาพและจิตใจ หลาย ๆ ปัจจัยข้างต้นอาจส่งผลร่วมกัน ผู้ชายบางคนอาจมีความไวทางชีวภาพที่ทำให้หลั่งเร็วตั้งแต่วัยหนุ่ม ขณะที่บางคนอาจเกิดปัญหาภายหลังเมื่อมีปัจจัยทางสุขภาพหรือจิตใจมากระตุ้น แนวทางการรักษาจึงมุ่งประเมินผู้ป่วยแบบองค์รวม ทั้งตรวจร่างกายและสอบถามสภาพจิตใจเพื่อหาปัจจัยที่แก้ไขได้และวางแผนรักษาอย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละราย
การวินิจฉัยภาวะหลั่งเร็วเป็นการประเมินเชิงคลินิกที่อาศัยการซักประวัติ และอาการเป็นหลัก ร่วมกับการตรวจร่างกายและการใช้แบบประเมินมาตรฐานในบางกรณี เป้าหมายคือแยกภาวะหลั่งเร็วออกจากความผิดปกติอื่น ๆ และค้นหาสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงที่อาจแก้ไขได้ โดยทั่วไปขั้นตอนการวินิจฉัยมีดังนี้:
การซักประวัติและประเมินอาการทั่วไป: แพทย์จะพูดคุยสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับรูปแบบการหลั่งของผู้ป่วย เช่น ระยะเวลาตั้งแต่เริ่มสอดใส่จนถึงการหลั่งในแต่ละครั้ง ความถี่ที่เกิดปัญหาหลั่งเร็ว รวมถึงสอบถามว่าผู้ป่วยรู้สึกว่าสามารถควบคุมการหลั่งได้หรือไม่ และมีความกังวลหรือความทุกข์ใจเกี่ยวกับปัญหานี้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ยังสอบถามประวัติทางการแพทย์ทั่วไปและยาที่ใช้อยู่ ตลอดจนชีวิตทางเพศและความสัมพันธ์กับคู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีความสำคัญในการแยกประเภทว่าผู้ป่วยเป็นชนิดแรกเริ่มหรือเกิดภายหลัง และช่วยบ่งชี้สาเหตุที่เป็นไปได้ เช่น ถ้าเคยมีช่วงที่ปกติดีมาก่อนแล้วค่อยเริ่มหลั่งเร็ว ก็จะเน้นหาสาเหตุทางกายหรือเหตุการณ์ในชีวิตช่วงนั้น เป็นต้น
การวัดระยะเวลาการหลั่ง (Intravaginal Ejaculation Latency Time – IELT): แม้การวินิจฉัยภาวะหลั่งเร็วจะไม่ได้อาศัยการจับเวลาที่เคร่งครัดเพียงอย่างเดียว แต่การประมาณระยะเวลาการหลั่งหลังการสอดใส่ก็เป็นข้อมูลสำคัญ แพทย์มักขอให้ผู้ป่วยประเมินหรือจับเวลา IELT โดยคร่าว ๆ ในการมีเพศสัมพันธ์แต่ละครั้งที่ผ่านมา หากพบว่ามักหลั่งภายในเวลาประมาณ 1 นาทีหรือน้อยกว่าหลังสอดใส่ (ในรายชนิดแรกเริ่ม) หรือหลั่งเร็วขึ้นกว่าเดิมมากอย่างมีนัยสำคัญ (ในรายชนิดเกิดภายหลัง) ก็จะสนับสนุนการวินิจฉัยภาวะหลั่งเร็ว (บางแนวทางเช่น ISSM ใช้เกณฑ์ <1 นาทีสำหรับชนิดแรกเริ่ม และ <3 นาทีในกรณีชนิดเกิดภายหลัง แต่เกณฑ์นี้ยืดหยุ่นได้ขึ้นกับดุลยพินิจแพทย์และบริบทของผู้ป่วยแต่ละราย)
แบบประเมินมาตรฐาน: มีแบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยวินิจฉัยและประเมินความรุนแรงของภาวะหลั่งเร็วโดยเฉพาะ เช่น Premature Ejaculation Diagnostic Tool (PEDT), Premature Ejaculation Profile (PEP) และ Index of Premature Ejaculation (IPE) เป็นต้น ซึ่งแบบประเมินเหล่านี้มีคำถามเกี่ยวกับการควบคุมการหลั่ง ความถี่ และผลกระทบทางจิตใจ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยทำแบบสอบถามเหล่านี้เพื่อประกอบการวินิจฉัยและวัดระดับความรุนแรงของปัญหา
การตรวจร่างกาย: แพทย์จะทำการตรวจร่างกายระบบอวัยวะสืบพันธุ์และระบบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างระมัดระวัง เพื่อค้นหาความผิดปกติที่อาจเป็นสาเหตุ และแนวทางแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมในรายชนิดแรกเริ่มที่ประวัติชัดเจน แต่ในกรณีชนิดเกิดภายหลังหรือมีข้อบ่งชี้จากประวัติตรวจร่างกาย แพทย์จึงจะพิจารณาการตรวจเพิ่มเติม
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ (ในกรณีที่จำเป็น): ดังที่กล่าวข้างต้น การตรวจเพิ่มเติมจะมุ่งเป้าตามความสงสัยจากประวัติและตรวจร่างกาย เช่น การตรวจเลือดดูระดับฮอร์โมนต่าง ๆ – อาจตรวจระดับ ฮอร์โมนไทรอยด์ (THS, Free T3, Free T4) เพราะภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperthyroidism) มีรายงานว่าเกี่ยวข้องกับอาการหลั่งเร็วในบางราย ตรวจระดับ น้ำตาลในเลือดหรือ HbA1c เพื่อคัดกรองเบาหวาน ตรวจระดับ ฮอร์โมนเพศชายและโปรแลคติน ในกรณีสงสัยความผิดปกติของฮอร์โมน เป็นต้น นอกจากนี้อาจมีการตรวจปัสสาวะหรือสารคัดหลั่งจากต่อมลูกหมากเพื่อหาการติดเชื้อหรือการอักเสบเรื้อรังของต่อมลูกหมาก ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางระบบทางเดินปัสสาวะร่วมด้วย ในภาพรวม แนวทาง EAU ระบุว่าไม่แนะนำการตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบครอบคลุมในผู้ป่วยหลั่งเร็วทุกราย แต่ให้ตรวจเฉพาะกรณีที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนเท่านั้น
การประเมินด้านจิตใจและการมีส่วนร่วมของคู่: แพทย์อาจประเมินสภาพจิตใจของผู้ป่วยควบคู่ไปด้วย เช่น สอบถามระดับความเครียด ความวิตกกังวล หรืออารมณ์ซึมเศร้า นอกจากนี้ แนวทาง EAU แนะนำว่าการประเมินควรรวมถึงการสอบถามความเห็นหรือความรู้สึกของคู่นอนด้วย หากเป็นไปได้ เพื่อให้เข้าใจมุมมองของทั้งสองฝ่ายและประเมินความรุนแรงของปัญหาได้รอบด้านยิ่งขึ้น ทั้งนี้การมีส่วนร่วมของคู่นอนตั้งแต่ขั้นตอนการวินิจฉัยจะช่วยสร้างความเข้าใจอันดี และเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับการรักษาร่วมกันต่อไป
เมื่อผ่านกระบวนการข้างต้นแล้ว แพทย์จะสามารถยืนยันการวินิจฉัยภาวะหลั่งเร็วได้พร้อมทั้งแยกประเภทและระบุปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง จากนั้นจึงวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งอาจประกอบด้วยหลายวิธีการดังที่จะกล่าวถึงต่อไป
การรักษาภาวะหลั่งเร็วมีหลากหลายวิธี ตั้งแต่วิธีฝึกฝนหรือปรับพฤติกรรมด้วยตนเอง การใช้ยาเฉพาะที่หรือยารับประทาน ตลอดจนการใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพ โดยในการเลือกแนวทางรักษา แพทย์จะพิจารณาจากความรุนแรงของอาการ สาเหตุหรือปัจจัยที่พบ รวมถึงความต้องการและความสะดวกของผู้ป่วยและคู่เป็นหลัก เป้าหมายของการรักษาคือช่วยให้ผู้ป่วยยืดเวลาการหลั่งออกไปได้มากขึ้น ควบคุมการหลั่งได้ดีขึ้น และลดความทุกข์หรือความกังวลใจที่มีต่อปัญหานี้ เพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิตทางเพศให้กลับมาเป็นปกติที่สุด ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงวิธีรักษาหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน
การบำบัดด้วยวิธีปรับพฤติกรรมทางเพศถือเป็นแนวทางรักษาแรกเริ่มที่แนะนำสำหรับผู้มีปัญหาหลั่งเร็ว โดยเฉพาะในรายที่อาการไม่รุนแรงมาก วิธีนี้ไม่มีความเสี่ยงจากยาและไม่มีผลข้างเคียงทางกาย เป็นการฝึกฝนเพื่อให้ผู้ป่วยเรียนรู้การควบคุมการตอบสนองทางเพศของตนเองดีขึ้น ลดความตื่นเต้นหรือความวิตกกังวลขณะมีเพศสัมพันธ์ และเพิ่มความมั่นใจในการร่วมเพศ แนวทางบำบัดพฤติกรรมที่ใช้กันทั่วไป ได้แก่:
เทคนิค “หยุด-เริ่ม” (Stop-Start Technique): เป็นวิธีที่พัฒนาโดย Masters และ Johnson โดยให้ผู้ชายหรือคู่ของเขาหยุดการกระตุ้นทางเพศก่อนที่จะถึงจุดที่ใกล้จะหลั่ง จากนั้นรอจนความรู้สึกอยากหลั่งลดลงแล้วค่อยเริ่มกระตุ้นต่อ ทำสลับเช่นนี้ 2–3 รอบก่อนจะปล่อยให้หลั่งจริง วิธีนี้ฝึกให้ผู้ป่วยรู้จักจังหวะควบคุมความรู้สึกของตนเองและยืดเวลาให้นานขึ้นเรื่อย ๆ
เทคนิคการบีบ (Squeeze Technique): วิธีนี้ให้คู่ของผู้ชายใช้มือบีบที่ส่วนปลายของอวัยวะเพศ (บริเวณรอยต่อของหัวองคชาต) ในจังหวะที่ฝ่ายชายรู้สึกว่าใกล้จะถึงจุดสุดยอด การบีบจะทำให้ความรู้สึกอยากหลั่งลดลง จากนั้นจึงปล่อยและรอต่อประมาณ 30 วินาทีก่อนเริ่มกระตุ้นใหม่ เทคนิคนี้ก็ช่วยฝึกชะลอการหลั่งร่วมกับวิธีหยุด-เริ่ม
การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Pelvic Floor Exercise): เป็นการบริหารกล้ามเนื้อบริเวณอุ้งเชิงกรานและฝีเย็บที่ควบคุมการหลั่งและการแข็งตัว (คล้ายการขมิบหยุดปัสสาวะ) หรือที่เรียกว่า Kegel exercise ในผู้ชาย การฝึกกล้ามเนื้อเหล่านี้ให้แข็งแรงขึ้นและรู้จักขมิบเกร็งอย่างถูกจังหวะจะช่วยให้ควบคุมการหลั่งได้ดีขึ้น มีงานวิจัยที่สนับสนุนวิธีนี้ เช่น การศึกษาที่ให้ผู้ป่วยหลั่งเร็วชนิดแรกเริ่มฝึกกายภาพบำบัดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่างสามารถเพิ่มค่า IELT จากเฉลี่ยเพียง ~30 วินาทีเป็น ~150 วินาทีหลังฝึก 12 สัปดาห์ และในระยะยาวกว่า 50% ของผู้ที่ฝึกยังสามารถควบคุมการหลั่งได้ดีอย่างต่อเนื่องนาน 2–3 ปีหลังจบการบำบัด การฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานสามารถทำได้ด้วยตนเองที่บ้านเป็นประจำ หรือบางรายอาจรับการบำบัดกับนักกายภาพบำบัดทางด้านนี้เพื่อผลที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การปรึกษาและบำบัดทางเพศ: ในหลายกรณี ภาวะหลั่งเร็วมีองค์ประกอบของความวิตกกังวลหรือปัญหาความสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง การได้พูดคุยปรึกษากับนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดทางเพศสามารถช่วยให้ผู้ป่วยจัดการกับความกังวลใจ ปรับมุมมองทัศนคติต่อเรื่องเพศ และสอนเทคนิคผ่อนคลายต่าง ๆ ที่จะช่วยลดความตื่นเต้นเมื่อมีเพศสัมพันธ์ การบำบัดทางจิตใจมักทำควบคู่ไปกับการฝึกเทคนิคข้างต้น เพื่อเสริมสร้างทั้งทักษะทางกายและความพร้อมทางใจไปพร้อมๆ กัน แนวทาง AUA ยังแนะนำว่าหากเป็นไปได้การให้คู่รักมีส่วนร่วมในการบำบัด (เช่น มาฝึกเทคนิคด้วยกันหรือเข้ารับคำปรึกษาด้วยกัน) จะช่วยเพิ่มประสิทธิผลของการรักษาและความพึงพอใจของทั้งสองฝ่ายมากยิ่งขึ้น
การบำบัดพฤติกรรมเหล่านี้มีข้อดีคือความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายต่ำ อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดคือผู้ป่วยต้องอาศัยความร่วมมือและความอดทนในการฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจึงจะเห็นผล นอกจากนี้ผลสำเร็จอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล งานวิจัยระบุว่าในระยะสั้นวิธีการเหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้ป่วยประมาณ 45–65% ควบคุมการหลั่งได้ดีขึ้น แต่ประสิทธิผลในระยะยาว เมื่อหยุดฝึกไปแล้วหลายเดือนยังไม่ชัดเจนนัก บางรายอาจกลับมามีอาการอีกหากไม่ได้ฝึกต่อเนื่อง ดังนั้นปัจจุบันจึงมีการนำวิธีการรักษาอื่นมาใช้ควบคู่กับการบำบัดพฤติกรรมเพื่อให้ได้ผลที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
การใช้ยาเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สำคัญในการรักษาภาวะหลั่งเร็ว มีกลุ่มยาหลายชนิดที่พบว่าสามารถยืดระยะเวลาการหลั่งได้นานขึ้น ยาที่ใช้รักษาหลั่งเร็วส่วนใหญ่ไม่ใช่ยาใหม่ แต่เป็นการนำยาที่มีอยู่เดิมมาใช้ประโยชน์ในผลข้างเคียงที่ช่วยชะลอการหลั่ง ซึ่งโดยมากถือเป็นการใช้ยา “นอกข้อบ่งใช้” (off-label use) ยกเว้นยาบางตัวที่พัฒนาขึ้นมาเฉพาะสำหรับภาวะนี้โดยตรง ในที่นี้จะกล่าวถึงยาหลัก ๆ ได้แก่:
ยา Dapoxetine (ดาพ็อกซิทีน): เป็นยาในกลุ่ม SSRI ที่ออกฤทธิ์เร็วและสลายตัวเร็ว ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อใช้รักษาภาวะหลั่งเร็วโดยเฉพาะ (เป็นยาเม็ดตัวแรกของโลกที่ขึ้นทะเบียนสำหรับรักษาหลั่งเร็ว) วิธีใช้คือรับประทานก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1–3 ชั่วโมง ออกฤทธิ์ชะลอการหลั่งในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ยาตัวนี้มีผลการศึกษายืนยันว่าสามารถเพิ่ม IELT และความพึงพอใจในการควบคุมการหลั่งได้ มีการอนุมัติใช้อย่างแพร่หลายในหลายประเทศรวมถึงในเอเชียและยุโรป ปัจจุบัน Dapoxetine ถือเป็นยาทางเลือกอันดับแรกสำหรับการรักษาแบบรับประทานเฉพาะกิจ (on-demand) ตามแนวทาง EAU โดยเฉพาะสำหรับรายที่เป็นหลั่งเร็วชนิดแรกเริ่มและต้องการใช้ยาเป็นครั้งคราวมากกว่ากินทุกวัน
ยากลุ่ม SSRI (Selective Serotonin Reuptake Inhibitors) อื่น ๆ: ยากลุ่มนี้เป็นยาต้านเศร้าที่มีผลเพิ่มระดับเซโรโทนินในสมองและส่งผลข้างเคียงให้การหลั่งล่าช้าออกไป ปัจจุบันยาในกลุ่ม SSRI ถูกใช้เป็นแนวทางยาหลักในการรักษาหลั่งเร็ว แนวทาง AUA/SMSNA แนะนำให้ใช้ยา SSRI แบบรับประทานเป็นประจำทุกวัน (daily SSRIs) เป็นวิธีแรก ๆ ในการรักษาผู้ป่วยหลั่งเร็วที่มีอาการต่อเนื่อง ตัวอย่างยาเช่น พารอกซีทีน (Paroxetine) เซอร์ทราลีน (Sertraline) ฟลูออกซีทีน (Fluoxetine) เป็นต้น โดยพบว่าการใช้ยาเหล่านี้ทุกวันประมาณ 1–2 สัปดาห์จะเริ่มเห็นผลในการยืดเวลา IELT ให้นานขึ้น ผู้ป่วยบางรายรายงานว่าสามารถเพิ่ม IELT ได้หลายเท่าตัวเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หากหยุดยาไป อาการหลั่งเร็วอาจกลับมาเป็นอีกได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน ซึ่งสะท้อนว่ายากลุ่มนี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุชั่วคราวมากกว่าจะรักษาให้หายขาด
ยา Clomipramine: ยานี้เดิมเป็นยาต้านซึมเศร้ากลุ่มเก่า (Tricyclic Antidepressant) ที่มีผลข้างเคียงคล้าย SSRI ในการชะลอการหลั่ง ปัจจุบันถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาหลั่งเร็วแบบกินเฉพาะก่อนมีเพศสัมพันธ์ (on-demand) ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อ SSRIs ตัวอื่น หรือมีข้อห้ามบางประการ ยา clomipramine ขนาดต่ำที่รับประทาน 4–6 ชั่วโมงก่อนมีเพศสัมพันธ์สามารถช่วยยืดเวลา IELT ได้พอสมควร แนวทาง AUA ก็จัดให้ยา clomipramine เป็นหนึ่งในยากินเฉพาะกิจที่ใช้เป็นแนวทางแรกๆ ได้ (เทียบเท่ากับ SSRIs และยาชาเฉพาะที่) แต่ควรระวังผลข้างเคียงเรื่องง่วงซึมหรือปากแห้งจากยานี้
ยา Tramadol: เป็นยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioid analgesic) ที่มีฤทธิ์ข้างเคียงช่วยชะลอการหลั่งออกไป ยานี้ไม่ใช่ยามาตรฐานสำหรับรักษาหลั่งเร็ว แต่พบว่าการรับประทาน Tramadol ขนาดต่ำก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 1–2 ชั่วโมง สามารถเพิ่ม IELT ได้ในผู้ป่วยบางราย กลไกคาดว่าเกี่ยวข้องกับการยับยั้งการรับส่งสัญญาณประสาทบางชนิด แนวทาง AUA ระบุว่าสามารถพิจารณาใช้ Tramadol เป็นทางเลือกลำดับสองในกรณีที่การรักษาแรก ๆ (เช่น SSRIs หรือยาชาเฉพาะที่) ไม่ได้ผล ส่วนแนวทาง EAU/ISSM จัดยา Tramadol เป็นตัวเลือกลำดับสาม (เมื่อการรักษาอื่น ๆ ล้มเหลว) และเตือนให้ใช้อย่างระมัดระวังเนื่องจากยาอาจมีผลข้างเคียงและความเสี่ยงในการใช้ เช่น ง่วงซึม คลื่นไส้ และเสี่ยงต่อการเสพติดหากใช้ต่อเนื่อง
ยากลุ่ม Alpha-1 Blockers: ยากลุ่มนี้ เช่น แทมซูโลซิน (Tamsulosin) ซึ่งปกติใช้รักษาอาการต่อมลูกหมากโต ถูกนำมาศึกษาใช้รักษาภาวะหลั่งเร็วเช่นกัน กลไกคาดว่าอาจผ่อนคลายกล้ามเนื้อบางส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการหลั่ง ทำให้การหลั่งช้าลง แนวทาง AUA ระบุว่าอาจพิจารณาใช้ยากลุ่มนี้ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีมาตรฐานแล้วไม่ได้ผล (ถือเป็นความเห็นผู้เชี่ยวชาญแบบ Expert Opinion) อย่างไรก็ตาม แนวทาง EAU/ISSM ยังไม่ได้มีคำแนะนำให้ใช้ยาเหล่านี้อย่างเป็นกิจลักษณะ จึงถือว่ายังมีบทบาทจำกัดและควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะรายไป
ยากลุ่ม PDE5 Inhibitors (เช่น Sildenafil): ยากลุ่มนี้ใช้รักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเป็นหลัก แต่มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่าการใช้ยาเช่น ซิลเดนาฟิล (Sildenafil) หรือ ทาดาลาฟิล (Tadalafil) อาจช่วยปรับปรุงการควบคุมการหลั่งได้บ้างทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหา ED ร่วมด้วย – เมื่อการแข็งตัวดีขึ้น ความกังวลที่จะเสื่อมสมรรถภาพระหว่างร่วมเพศก็ลดลง ทำให้ความเร่งรีบในการหลั่งลดลง แนวทาง EAU แนะนำว่าควรรักษาภาวะ ED ที่เป็นโรคร่วมก่อนแล้วจึงประเมินอาการหลั่งเร็วอีกครั้ง เนื่องจากบางครั้งเมื่อแก้ ED ได้ อาการหลั่งเร็วอาจดีขึ้นเอง นอกจากนี้ EAU ยังระบุว่าการใช้ยา PDE5 inhibitors ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ อาจเป็นทางเลือกในผู้ป่วยหลั่งเร็วที่ไม่มี ED เพื่อเพิ่มความมั่นใจและลดความวิตกกังวล ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการชะลอการหลั่ง
หมายเหตุ: ยารับประทานทุกชนิดที่กล่าวมาควรใช้ภายใต้การดูแลและสั่งจ่ายของแพทย์ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีผลข้างเคียงและข้อควรระวังเฉพาะ การปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละรายมีความสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิผลและลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด เช่น SSRIs อาจทำให้คลื่นไส้ ง่วงนอน หรือมีผลต่อความต้องการทางเพศได้บ้าง Dapoxetine อาจทำให้เวียนศีรษะคลื่นไส้บางราย Tramadol ควรระวังเรื่องง่วงและเสี่ยงการพึ่งพายา เป็นต้น นอกจากนี้ยาบางตัวมีข้อห้ามใช้ร่วมกับยาหรือภาวะโรคบางอย่างที่แพทย์จะต้องประเมินก่อนสั่ง ดังนั้นไม่ควรซื้อยามาใช้เองโดยขาดการปรึกษาแพทย์
การใช้ยาชาเฉพาะที่บริเวณอวัยวะเพศชายเป็นวิธีการรักษาที่มีมานานและได้รับความนิยมในผู้ป่วยบางส่วน หลักการคือใช้ยาชา เช่น ลิโดเคน (Lidocaine) หรือ พริโลเคน (Prilocaine) ทาหรือพ่นบริเวณส่วนหัวขององคชาตก่อนมีเพศสัมพันธ์ ยาชาจะออกฤทธิ์ลดความไวของปลายประสาท ทำให้การกระตุ้นความรู้สึกทางเพศลดลงเล็กน้อยและช่วยให้ยืดเวลาการหลั่งออกไปได้ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่ต้องการใช้งานเป็นครั้งคราวและไม่ต้องการรับประทานยาเข้าสู่ร่างกาย
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ยาชาเฉพาะที่: มีทั้งรูปแบบครีมและสเปรย์ เช่น ครีมผสมลิโดเคน-พริโลเคน (ชื่อการค้าเช่น “EMLA cream”) หรือสเปรย์ลิโดเคนที่ใช้พ่นปลายองคชาตก่อนมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 10–15 นาที เป็นต้น แนวทาง EAU ก็จัดให้สเปรย์ยาชาเฉพาะที่เป็นหนึ่งในวิธีรักษาสำหรับผู้ป่วยหลั่งเร็วชนิดแรกเริ่มเช่นกัน (โดยเฉพาะถ้าไม่ต้องการใช้ยากิน)
วิธีใช้และข้อควรระวัง: โดยทั่วไป แนะนำให้ทายาชาบาง ๆ ที่ปลายอวัยวะเพศแล้วทิ้งไว้ประมาณ 5–10 นาทีเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ จากนั้น ควรล้างหรือเช็ดยาออกก่อนการสอดใส่ หรือสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันไม่ให้ยาชาซึมไปโดนอวัยวะของคู่นอน ซึ่งอาจทำให้คู่รู้สึกชาหรือระคายเคืองได้ ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของยาชามักนานประมาณ 20–30 นาที (ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นและชนิดยา) ผู้ใช้จึงควรกะเวลาการใช้ยาให้เหมาะสมกับกิจกรรมทางเพศ ในกรณีสเปรย์ควรฉีดพ่นตามขนาดที่ระบุในฉลาก (การใช้มากเกินไปไม่ได้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมากนักแต่อาจเสี่ยงต่อการระคายเคือง)
ประสิทธิผล: ยาชาเฉพาะที่สามารถเพิ่ม IELT ได้ตั้งแต่ 1.5 เท่าไปจนถึง 3–8 เท่า ขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของผู้ป่วย เช่น ในบางการศึกษาพบว่า IELT เฉลี่ยเพิ่มจาก 1 นาทีเป็น 3–4 นาที เมื่อใช้ครีมยาชา ซึ่งถือว่าช่วยยืดเวลาได้อย่างมีนัยสำคัญพอให้คู่รู้สึกถึงความแตกต่าง อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของวิธีนี้คือบางคู่รู้สึกว่าอวัยวะเพศชายชาเกินไปจนความรู้สึกเพลิดเพลินลดลง รวมถึงขั้นตอนการต้องทายาก่อนมีเพศสัมพันธ์ทำให้รู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ หรือขาดความต่อเนื่องในบางครั้ง นอกจากนี้ ผู้ใช้บางรายอาจเกิดการแพ้หรือระคายเคืองต่อยาชา เช่น แสบร้อนผิวหนังได้ แม้พบไม่บ่อยนัก
ที่สำคัญคืออัตราการใช้วิธีนี้ในระยะยาวค่อนข้างต่ำ เนื่องจากหลายคู่ใช้ไปสักระยะอาจไม่พึงพอใจแล้วหยุดใช้ ผลการศึกษาติดตามหลังการวางตลาดพบว่าผู้ชายที่ลองใช้การรักษาวิธีนี้ถึง 75% รู้สึกไม่พึงพอใจ และสุดท้ายมีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่ยังคงใช้วิธีนี้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว สาเหตุหลักมาจากความไม่สะดวกและผลข้างเคียงเรื่องความรู้สึกที่ลดลง ดังนั้นในทางปฏิบัติจึงมักแนะนำให้ใช้วิธีนี้ร่วมกับวิธีอื่น เช่น ใช้ยาชาควบคู่กับการฝึกพฤติกรรม หรือยาชาควบคู่กับยากิน เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและประสิทธิภาพในการรักษา
เนื่องจากแต่ละวิธีการรักษามีข้อดีและข้อจำกัดต่างกัน ปัจจุบันการรักษาภาวะหลั่งเร็วจึงมุ่งไปที่การผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย แนวทางสากลต่าง ๆ เช่น AUA และ EAU เน้นย้ำว่าการรักษาแบบผสมผสานระหว่างการบำบัดพฤติกรรมและการใช้ยาให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่มีอาการมากหรือเป็นมานาน การใช้ยาจะช่วยให้อาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่การฝึกพฤติกรรมจะช่วยเสริมสร้างทักษะในการควบคุมและความมั่นใจ ซึ่งเมื่อทำควบคู่กันจะทำให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ตัวอย่างการรักษาแบบผสมผสาน:
การใช้ยา SSRIs ควบคู่กับการฝึกพฤติกรรม: วิธีนี้เป็นแนวทางมาตรฐานที่ใช้แพร่หลาย ผู้ป่วยอาจได้รับยากิน เช่น SSRIs หรือ Dapoxetine เพื่อให้การหลั่งช้าลงตั้งแต่ช่วงแรกที่เริ่มรักษา ทำให้มีเวลามากพอที่จะฝึกเทคนิคหยุด-เริ่ม หรือฝึกขมิบกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่หลั่งเสียก่อน เมื่อเวลาผ่านไปผู้ป่วยจะควบคุมได้ดีขึ้นและอาจค่อย ๆ ลดยาจนไม่ต้องใช้ยาเลยก็ได้
การใช้ยาชาเฉพาะที่ร่วมกับยาเม็ด: เช่น การทาครีมยาชาก่อนมีเพศสัมพันธ์ ร่วมกับการรับประทานยา Dapoxetine ล่วงหน้า วิธีนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการยืดเวลามากขึ้นกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเดี่ยวๆ คือยาชาช่วยลดความไวที่ปลายประสาท ขณะที่ Dapoxetine เพิ่มระดับสารสื่อประสาทยับยั้งการหลั่งในสมอง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าการรักษาแบบผสมดังกล่าวให้ผล IELT เฉลี่ยยาวนานขึ้นและความพึงพอใจสูงขึ้นเมื่อเทียบกับการรักษาเดี่ยว ๆ
การใช้ยาชนิดต่าง ๆ ร่วมกัน: ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาสองชนิดร่วมกันเพื่อเสริมฤทธิ์กัน ตัวอย่างเช่น การใช้ยา Clomipramine ร่วมกับ Sildenafil ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ในการทดลองหนึ่งพบว่าสามารถเพิ่ม IELT ได้มากกว่าการใช้ยา Clomipramine หรือ Sildenafil เพียงอย่างเดียว และผู้ป่วยมีความพึงพอใจทางเพศมากขึ้น โดยไม่พบผลข้างเคียงที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการใช้ยาตัวเดียว การใช้ยาร่วมกันเช่นนี้ยังอยู่ในการศึกษาขั้นทดลอง แต่แสดงให้เห็นแนวโน้มว่าอนาคตอาจมียาสูตรผสมหรือแนวทางปรับขนาดยาที่ทำให้ควบคุมการหลั่งได้ดียิ่งขึ้น
การรักษาโรคร่วมและการปรับสุขภาพโดยรวม: การรักษาแบบผสมผสานยังหมายรวมถึงการดูแลปัจจัยอื่นๆ ของผู้ป่วยควบคู่กันไป เช่น หากผู้ป่วยมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศหรือมีการอักเสบของต่อมลูกหมากร่วมด้วย ควรทำการรักษาภาวะเหล่านั้นให้ดีขึ้นก่อนหรือตควบคู่กัน เพราะจะส่งผลทางอ้อมให้ปัญหาหลั่งเร็วดีขึ้นด้วย แนวทาง AUA ระบุชัดเจนว่าควรรักษาภาวะ ED ที่พบร่วมตามแนวทางของ ED ไปพร้อม ๆ กับการจัดการหลั่งเร็วในผู้ป่วยกลุ่มนี้ เช่นเดียวกับ EAU ที่แนะนำว่าควรรักษาต่อมลูกหมากอักเสบที่พบร่วมก่อน แล้วจึงประเมินปัญหาหลั่งเร็วอีกครั้ง เป็นต้น นอกจากนี้การแนะนำให้ผู้ป่วยปรับสุขภาพทั่วไป เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดน้ำหนักในรายที่อ้วน หรือปรับพฤติกรรมที่เสี่ยง งดสารเสพติด ลดการดื่มแอลกอฮอล์ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลแบบองค์รวมที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาหลักให้ดียิ่งขึ้น
โดยสรุป การรักษาแบบผสมผสานเป็นแนวทางที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เพราะเน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (patient-centered) คือปรับการรักษาให้เข้ากับลักษณะปัญหาและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละคน ทั้งนี้ แพทย์และผู้ป่วยควรตัดสินใจร่วมกันถึงวิธีการรักษาที่เหมาะสม (shared decision-making) โดยพิจารณาถึงประสิทธิผล ความสะดวก ผลข้างเคียง และความพร้อมของทั้งผู้ป่วยและคู่รักในการร่วมมือรักษา เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
แม้การรักษาทางการแพทย์จะมีบทบาทสำคัญ แต่การดูแลตนเองและการปรับพฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวันก็มีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาหลั่งเร็วและเสริมให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่มีปัญหานี้ควรทราบข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนหรือการใช้วิธีที่ไม่เหมาะสม ดังนี้:
ฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ: การฝึกขมิบกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การทำ Kegel exercise จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงและการรับรู้การควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการหลั่ง เป็นการออกกำลังง่าย ๆ ที่ทำได้เองทุกที่และมีประโยชน์ต่อการควบคุมการหลั่งในระยะยาว
ฝึกเทคนิคผ่อนจังหวะการหลั่งด้วยตนเอง: ผู้ที่ยังไม่พร้อมไปพบแพทย์สามารถลองฝึกเทคนิคง่ายๆ เช่น วิธีหยุด-เริ่ม ระหว่างการช่วยตัวเองหรือขณะมีเพศสัมพันธ์กับคู่ วิธีนี้จะช่วยฝึกให้รู้จักจุดที่จะถึงจุดสุดยอดและเรียนรู้การผ่อนคลายก่อนถึงจุดนั้น ซึ่งเมื่อฝึกบ่อยๆ จะช่วยยืดเวลาได้
ใช้ถุงยางอนามัยหรือสารหล่อลื่นลดความไว: ถุงยางอนามัย โดยเฉพาะชนิดที่มีความหนาหรือเคลือบสารชาลดความรู้สึก เช่น ถุงยางที่มีเบนโซเคน สามารถช่วยลดความไวขององคชาตและชะลอการหลั่งได้ระดับหนึ่ง นอกจากนี้การใช้สารหล่อลื่นมากขึ้นก็ช่วยลดแรงเสียดทานและความไวลง อาจช่วยให้อึดขึ้นเล็กน้อย ทั้งนี้ควรใช้อย่างเหมาะสมและระวังการแพ้สารที่เคลือบอยู่
ผ่อนคลายความเครียดและลดความวิตกกังวล: ความเครียดและความกังวลใจเป็นตัวกระตุ้นสำคัญของภาวะหลั่งเร็ว การฝึกผ่อนคลายก่อนและระหว่างมีเพศสัมพันธ์จะเป็นประโยชน์ เช่น ฝึกหายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ระหว่างเล้าโลมหรือขณะรู้สึกใกล้ถึงจุดสุดยอด การทำสมาธิสั้นๆ ก่อนมีกิจกรรม การสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขณะมีเพศสัมพันธ์ ล้วนมีส่วนช่วยลดความตื่นเต้นลงได้ นอกจากนี้การออกกำลังกายเป็นประจำและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดได้ดียิ่งขึ้น
หลีกเลี่ยงการกระตุ้นที่มากเกินไปช่วงก่อนสอดใส่: บางกรณีผู้ชายอาจเกิดการกระตุ้นอารมณ์มากเกินไปก่อนเริ่มการร่วมเพศ เช่น หลังเล้าโลมนานหรือมีสิ่งเร้าทางสายตา จินตนาการสูง ทำให้เมื่อเริ่มสอดใส่อาจหลั่งอย่างรวดเร็ว การปรับลดระดับสิ่งเร้าที่มากเกินไปลงหรือเว้นระยะการเล้าโลมให้พอดีกับความสามารถในการควบคุมก็อาจช่วยได้ เช่น ไม่เล้าโลมจนอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไปก่อนเริ่มสอดใส่ เป็นต้น
ดูแลสุขภาพร่างกายทั่วไป: สุขภาพกายที่แข็งแรงส่งผลทางอ้อมต่อสมรรถภาพทางเพศที่ดี ควรหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมากก่อนกิจกรรมทางเพศ แม้บางคนอาจคิดว่าแอลกอฮอล์ช่วยชะลอการหลั่ง แต่การดื่มมากเกินไปทำให้การควบคุมลดลงและเสี่ยงต่อการหย่อนสมรรถภาพ และควรงดสูบบุหรี่ซึ่งมีผลเสียต่อระบบหลอดเลือดและเส้นประสาท รวมถึงควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานและออกกำลังกายสม่ำเสมอ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาทและหลอดเลือดทำงานได้ดี ส่งผลดีต่อการควบคุมการหลั่งในทางอ้อม
ไม่ควรซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ใด ๆ มาใช้เองโดยขาดข้อมูลที่ถูกต้อง: ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือสมุนไพรจำนวนมากที่โฆษณาอ้างสรรพคุณเรื่องการทำให้ “อึด ทน นาน” แต่ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือมายืนยันว่าได้ผลจริง บางชนิดอาจผสมสารออกฤทธิ์ทางยาโดยไม่แจ้ง ซึ่งอาจเกิดอันตรายหรือมีผลข้างเคียงได้ แนวทางแพทย์ระบุว่ายังไม่มีหลักฐานเพียงพอในการสนับสนุนการใช้สมุนไพรหรืออาหารเสริมสำหรับรักษาภาวะหลั่งเร็ว ดังนั้นจึงควรใช้วิจารณญาณในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ และทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
ระมัดระวังวิธีรักษาแบบทดลองหรือการผ่าตัด: มีบางวิธีที่ถูกนำเสนอว่าแก้หลั่งเร็วได้ เช่น การผ่าตัดเส้นประสาทบางส่วนขององคชาต หรือการฉีดสารบางอย่างเข้าไปในองคชาต เช่น ฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ที่ปลายองคชาตเพื่อลดความไว ควรปรึกษาแพทย์ที่ทำหัตถการโดยละเอียดก่อนตัดสินใจทำ
ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น: หากปัญหาหลั่งเร็วส่งผลต่อชีวิตคู่หรือสภาพจิตใจอย่างมาก ไม่ควรรอช้าในการขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือนักบำบัดทางเพศ ผู้เชี่ยวชาญจะสามารถประเมินและให้คำแนะนำหรือรักษาอย่างถูกวิธี การเข้ารับการรักษาเร็วจะช่วยป้องกันผลกระทบทางจิตใจระยะยาวและฟื้นฟูความมั่นใจได้ไวขึ้น
การสื่อสารที่ดีระหว่างคู่รักเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหาภาวะหลั่งเร็วอย่างได้ผล เนื่องจากปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อทั้งสองฝ่าย การเปิดใจพูดคุยและทำความเข้าใจซึ่งกันและกันจะช่วยลดความตึงเครียดและความเข้าใจผิด ทั้งยังทำให้ทั้งคู่ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาได้ดียิ่งขึ้น
แนวทางการสื่อสารและสร้างความเข้าใจร่วมกัน:
พูดคุยเรื่องปัญหาอย่างเปิดเผยและซื่อสัตย์: คู่รักควรหาเวลาที่เหมาะสมในการพูดคุยถึงปัญหาหลังเร็วในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เปิดใจรับฟังความรู้สึกของกันและกัน ฝ่ายชายควรอธิบายให้คู่ของตนเข้าใจว่าปัญหานี้เป็นเรื่องทางการแพทย์ที่สามารถรักษาได้ ไม่ใช่เพราะตนเองไม่รักหรือไม่ดึงดูดใจคู่ และไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเช่นกัน ขณะเดียวกันคู่ของผู้ที่มีปัญหา ก็ควรสื่อให้ฝ่ายชายทราบว่าตนรู้สึกอย่างไร เช่น อาจรู้สึกไม่เต็มที่หรือกังวลแต่ก็ยังรักและอยากแก้ไขไปด้วยกัน การสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาจะช่วยขจัดความคิดไปเองของทั้งสองฝ่ายและลดความเครียดลงได้มาก
หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือล้อเลียนกัน: คู่รักควรมีความเห็นอกเห็นใจต่อกัน เข้าใจว่าภาวะหลั่งเร็วอาจเกิดจากหลายปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยาก ไม่ใช่เพราะฝ่ายชาย ไม่พยายาม หรืออ่อนหัด ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงคำพูดในเชิงตำหนิ ดูถูก หรือล้อเลียนเกี่ยวกับปัญหานี้ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจและเพิ่มความวิตกกังวล ทำให้อาการแย่ลง ควรใช้คำพูดเชิงให้กำลังใจ ชมเชยในสิ่งที่อีกฝ่ายทำได้ดี และเน้นย้ำว่าตนเองยังรู้สึกพึงพอใจในความสัมพันธ์โดยรวมของชีวิตคู่
ร่วมมือกันหาวิธีปรับตัวระหว่างมีเพศสัมพันธ์: คู่รักสามารถลองปรับเปลี่ยนวิธีการมีเพศสัมพันธ์เพื่อช่วยลดปัญหาหลั่งเร็ว เช่น เพิ่มระยะเวลาในการเล้าโลม (foreplay) นานขึ้นเพื่อให้คู่หญิงมีโอกาสใกล้ถึงจุดสุดยอดก่อนที่จะมีการสอดใส่ หรือ เปลี่ยนท่วงท่าร่วมเพศ โดยอาจเลือกท่าที่ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบนซึ่งจะช่วยควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวให้ช้าลงได้ นอกจากนี้การหยุดการเคลื่อนไหวชั่วคราวเมื่อฝ่ายชายใกล้จะถึงจุดสุดยอด ซึ่งฝ่ายหญิงสามารถช่วยสังเกตและหยุดได้ ก็เป็นการทำเทคนิคหยุด-เริ่มร่วมกันที่ได้ผล ทั้งนี้ทั้งสองฝ่ายควรสื่อสารระหว่างร่วมเพศอย่างตรงไปตรงมา เช่น ฝ่ายชายอาจบอกเป็นสัญญาณเมื่อใกล้จะหลั่ง เพื่อให้ทั้งคู่ร่วมมือกันเปลี่ยนจังหวะหรือหยุดพักตามเทคนิคที่ตกลงกันไว้
โฟกัสที่ความสุขร่วมกันมากกว่าการสอดใส่เพียงอย่างเดียว: การปรับมุมมองเรื่องเซ็กส์ให้กว้างขึ้นว่าไม่ใช่แค่การสอดใส่และการถึงจุดสุดยอดของฝ่ายชายสามารถช่วยลดแรงกดดันได้ คู่รักควรให้ความสำคัญกับความสุขทางเพศของทั้งสองฝ่าย เช่น การใช้เวลาเล้าโลม การใช้เซ็กส์ทอยหรือวิธีอื่นช่วยฝ่ายหญิงถึงจุดสุดยอด แม้ฝ่ายชายจะหลั่งไปแล้ว หรือการมีรอบสอง (multiple rounds) ถ้าฝ่ายชายพร้อม เพราะโดยมากในรอบที่สองฝ่ายชายมักจะหลั่งช้าลงมาก การที่ทั้งคู่มีท่าทีผ่อนคลายและยืดหยุ่นกับวิธีที่จะตอบสนองความสุขให้กันและกัน จะช่วยให้ปัญหาหลั่งเร็วไม่เป็นอุปสรรคใหญ่ต่อชีวิตเพศของทั้งคู่
เข้ารับคำปรึกษาร่วมกันหากจำเป็น: ในกรณีที่ปัญหานี้ก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือความเครียดในชีวิตคู่มาก แนะนำให้ทั้งคู่เข้าพบผู้เชี่ยวชาญด้วยกัน เช่น นักบำบัดคู่สมรสหรือนักบำบัดทางเพศ ซึ่งจะช่วยชี้แนะแนวทางสื่อสารและการปรับตัวต่อปัญหาได้อย่างเป็นระบบ ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายจะได้ระบายความรู้สึกและความต้องการของตนผ่านการชี้แนะของมืออาชีพ ผลลัพธ์คืองานวิจัยพบว่าการมีคู่รักเข้ามามีส่วนร่วมในการรักษาให้กำลังใจและตัดสินใจร่วมกันจะทำให้ผลการรักษาภาวะหลั่งเร็วออกมาดีขึ้นทั้งในแง่ร่างกายและความสัมพันธ์
โดยภาพรวม การร่วมมือกันระหว่างคู่รักและความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผ่านพ้นปัญหานี้ไปได้ง่ายขึ้น ผู้ชายที่ได้รับกำลังใจจากคนรักมักมีความมั่นใจกลับคืนมาเร็วและตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่า ในขณะเดียวกัน คู่รักก็จะรู้สึกใกล้ชิดและเชื่อใจซึ่งกันและกันมากขึ้นเมื่อสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ไปได้ด้วยความเข้าใจ
วงการแพทย์มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการศึกษาและหาแนวทางใหม่ ๆ เพื่อรักษาภาวะหลั่งเร็ว ปัจจุบันนอกจากวิธีมาตรฐานที่ใช้แพร่หลายดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มีงานวิจัยและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่น่าสนใจดังนี้:
นวัตกรรมการฟื้นฟูสมรรถภาพผ่านการฝึกกล้ามเนื้อและการกระตุ้นไฟฟ้า: มีการทดลองใช้ การทำกายภาพบำบัดกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า (Pelvic Floor Neuromuscular Electrical Stimulation) เพื่อรักษาภาวะหลั่งเร็วแบบถาวร (lifelong PE) โดยในการศึกษาของ Pastore และคณะ ให้ผู้ป่วยที่มี IELT < 1 นาทีเข้ารับการฝึกกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานพร้อมกระตุ้นไฟฟ้าผ่านทางสายสวนทวารและการทำไบโอฟีดแบ็ค สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ ผลพบว่า ค่า IELT เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเฉลี่ย ~30 วินาทีเป็น ~146 วินาที หลังจบโปรแกรม นอกจากนี้ในการติดตามผลระยะยาว 2–3 ปี มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยยังคงสามารถควบคุมการหลั่งได้ดีใกล้เคียงช่วงหลังจบการฝึก (รักษาผลสำเร็จไว้ได้) ถือเป็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจ อย่างไรก็ดี วิธีนี้มีความยุ่งยากและใช้เวลาฝึกค่อนข้างมาก ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาอุปกรณ์กระตุ้นไฟฟ้าภายนอกแบบเฉพาะกิจ (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation – TENS) สำหรับใช้บริเวณฝีเย็บขณะมีเพศสัมพันธ์จริง แนวคิดคือคลื่นไฟฟ้าจะไปรบกวนวงจรประสาทการหลั่ง ทำให้จังหวะการบีบรัดกล้ามเนื้อเพื่อลำเลียงอสุจิลดลง ส่งผลให้หลั่งช้าลง เทคโนโลยีนี้อยู่ในขั้นทดลอง แต่หากสำเร็จจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการใช้ยาหรือทายา แต่ใช้เป็นอุปกรณ์ช่วยชั่วคราวเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์
การใช้ตัวยาและชีวโมเลกุลใหม่ ๆ: นอกจากยาเดิมที่มีใช้อยู่ เช่น SSRIs หรือ Tramadol ในปัจจุบันมีการศึกษา ตัวยาออกฤทธิ์ใหม่ ๆ ที่อาจมีส่วนช่วยรักษาภาวะหลั่งเร็ว เช่น ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบออกซิโทซิน (Oxytocin antagonists) เนื่องจากฮอร์โมนออกซิโทซินมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาการหลั่ง ยับยั้งการทำงานของออกซิโทซินอาจช่วยชะลอการหลั่งได้ อีกทั้งยังมีการทดลองใช้ยากลุ่มที่ออกฤทธิ์ต่อสารโดปามีนและนอร์อะดรีนาลีน นอกจากนี้งานวิจัยทางพันธุกรรมและชีวเคมีกำลังศึกษาความผิดปกติระดับโมเลกุลในผู้ที่มีภาวะหลั่งเร็ว เพื่อหวังพัฒนายาใหม่ ๆ ที่แก้ไขที่ต้นเหตุได้ตรงจุดยิ่งขึ้น เช่น หากพบยีนหรือโปรตีนที่เกี่ยวข้องชัดเจนก็อาจพัฒนายาที่ปรับการทำงานของโปรตีนนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม ยาเหล่านี้ยังอยู่ในขั้นทดลองและต้องใช้เวลาอีกระยะในการพิสูจน์ประสิทธิผลและความปลอดภัย
การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid): ปัจจุบันมีการทดลองใช้การฉีดสารเติมเต็มประเภทไฮยาลูโรนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) เข้าปลายองคชาตเพื่อเพิ่มความหนาของเนื้อเยื่อ ลดความไวต่อการสัมผัสโดยตรง งานวิจัยเบื้องต้นรายงานว่าวิธีนี้ช่วยยืดเวลาในการหลั่งได้พอสมควรโดยไม่มีผลเสียต่อการแข็งตัว แต่เนื่องจากยังขาดข้อมูลด้านความปลอดภัยระยะยาว แนวทาง EAU จึงระบุว่าแนวทางนี้ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษเท่านั้น หากในอนาคตมีข้อมูลมากขึ้นและพัฒนาเทคนิคให้ปลอดภัย วิธีนี้ก็อาจเป็นทางเลือกสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ
การปรับปรุงแนวทางการวินิจฉัยและนิยามภาวะหลั่งเร็ว: นอกเหนือจากวิธีรักษา อีกด้านที่มีการพัฒนาคือนิยามและแนวทางการวินิจฉัยใหม่ ปัจจุบันองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ปรับปรุงคำเรียกภาวะหลั่งเร็วในระบบจำแนกโรคระหว่างประเทศฉบับที่ 11 (ICD-11) โดยเปลี่ยนมาใช้คำว่า “ภาวะหลั่งเร็วในผู้ชาย (Male Early Ejaculation)” แทน “Premature Ejaculation” โดยให้คำนิยามว่าชายที่หลั่งออกมาก่อนหรือภายในประมาณ 1 นาทีหลังการสอดใส่หรือเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ ร่วมกับมีความทุกข์ใจต่อภาวะดังกล่าว นับเป็นความพยายามที่จะปรับปรุงการนิยามให้ครอบคลุมและลดทอนความรู้สึกด้านลบจากคำว่า “premature” ทั้งนี้แนวทาง EAU ล่าสุดก็ได้นำคำนิยามใหม่นี้มาประยุกต์ใช้ในการจัดแนวทางดูแลผู้ป่วยหลั่งเร็ว ซึ่งบ่งชี้ว่าชุมชนการแพทย์กำลังให้ความสำคัญกับมุมมองของผู้ป่วยและผลกระทบทางจิตใจมากขึ้นในการวินิจฉัย เช่น เน้นที่ความทุกข์ใจของผู้ป่วยเป็นหลัก ร่วมกับพิจารณาเวลาในการหลั่งประกอบ แต่ไม่ยึดเวลาเป็นเกณฑ์ตายตัวเท่าเดิม
แนวทางการรักษาแบบองค์รวมและจำเพาะบุคคล: เทรนด์ในอนาคตของการรักษาภาวะหลั่งเร็วคือการมุ่งไปสู่การรักษาแบบเฉพาะบุคคล (personalized medicine) มากขึ้น โดยแพทย์จะประเมินผู้ป่วยแต่ละรายในทุกมิติ – ทั้งชีวภาพ จิตใจ และสังคม – จากนั้นเลือกผสมผสานวิธีรักษาที่เหมาะกับปัจจัยของรายนั้น ๆ มากที่สุด เช่น ผู้ป่วยที่มีฮอร์โมนไทรอยด์ผิดปกติอาจเน้นรักษาฮอร์โมนควบคู่กับยา ผู้ป่วยที่มีปัญหาความสัมพันธ์อาจเน้นการบำบัดคู่ หรือผู้ที่มีความคาดหวังสูงและกังวลอาจใช้การฝึกสติและผ่อนคลายเข้าช่วย เป็นต้น นอกจากนี้ยังเน้นการมีส่วนร่วมของคู่รักในการตัดสินใจวางแผนรักษา และการติดตามผลระยะยาวเพื่อปรับแนวทางให้เหมาะสมตลอดเวลา แนวคิดเหล่านี้จะสะท้อนอยู่ในแนวทางเวชปฏิบัติรุ่นใหม่ ๆ ที่กำลังจะออกมา เช่น แนวทางปรับปรุงของ EAU/AUA ในปีต่อ ๆ ไป
บทส่งท้าย: แม้ว่าภาวะหลั่งเร็วจะเป็นปัญหาทางเพศที่สร้างความกังวลใจให้แก่ผู้ชายและคู่รักอย่างมาก แต่อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วว่าปัญหานี้สามารถทำความเข้าใจและรักษาได้ด้วยวิธีการที่หลากหลาย ปัจจุบันมีทั้งองค์ความรู้และเครื่องมือใหม่ ๆ ที่ช่วยให้การจัดการกับภาวะนี้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สิ่งสำคัญคือผู้ที่มีปัญหาไม่ควรลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพราะการได้รับความช่วยเหลือแต่เนิ่นๆ จะทำให้แก้ไขได้ง่ายและฟื้นฟูความมั่นใจกลับมาได้เร็ว ด้วยความร่วมมือระหว่างการรักษาของแพทย์ การดูแลตนเองของผู้ป่วย และความเข้าใจจากคู่รัก ปัญหาหลั่งเร็วก็สามารถคลี่คลายลงและไม่เป็นอุปสรรคต่อความสุขในชีวิตคู่ของทั้งสองฝ่าย
https://www.auanet.org/guidelines-and-quality/guidelines/disorders-of-ejaculation
https://www.nature.com/articles/s41443-024-00875-w
https://www.mdpi.com/2075-4418/14/16/1819#:~:text=ED,5%20%2C%20187