สารพัดวิธีแก้หลั่งเร็ว: คู่มือสำหรับเพิ่มความมั่นใจ ชะลอได้ (ฉบับไม่พึ่งหัตถการ)

ในบทความที่แล้วเราได้ทำความรู้จักกับภาวะหลั่งเร็ว หรือ Premature Ejaculation (PE) รวมถึงภาพรวมของการรักษาที่เบื้องต้นที่ยังไม่ได้ใช้หัตถการ ส่วนในบทความนี้จะลงลึกถึงรายละเอียดของแต่ละวิธีที่ช่วยยืดเวลาการหลั่งและเพิ่มความพึงพอใจได้จริงโดยอ้างอิงตามหลักการทางแพทย์และเริ่มทำเองที่บ้านได้

ก่อนเริ่ม ถ้ามีอาการร่วมอย่างปัสสาวะแสบขัด น้ำอสุจิผิดปกติ ปวดถุงอัณฑะ เคยมีปัญหาแข็งตัวยาก (ED) หรือสงสัยไทรอยด์ทำงานเกิน ควรตรวจประเมินกับแพทย์ก่อนเสมอครับ


ทำความเข้าใจแก่นของการแก้หลั่งเร็ว

หัวใจคือการ เรียนรู้สัญญาณว่า “ใกล้จะหลั่ง” (point of no return) แล้วลดสิ่งเร้าให้ระดับความตื่นตัวลดลงก่อนข้ามจุดนั้น ทำซ้ำจนร่างกาย “คุ้น” และหน่วงเวลาได้ดีขึ้นตามธรรมชาติ แนวทางช่วยมี 4 กลุ่มหลัก:

  1. เทคนิคปรับพฤติกรรม (Behavioral)

  2. เคเกล (Kegel Excercise)/กายภาพอุ้งเชิงกราน

  3. การใช้ยาเฉพาะที่และยารับประทาน

  4. จิตบำบัด/เพศบำบัด (Sex Therapy)


กลุ่มที่ 1: เทคนิคปรับพฤติกรรม

1) เทคนิค Start–Stop (เริ่ม–หยุด)

  • ทำกิจกรรมทางเพศตามปกติ (กับคู่หรือช่วยตัวเอง) จนรู้สึกว่า “ใกล้จะถึง”

  • หยุดการกระตุ้นทั้งหมด สงบจิตใจ หายใจยาว ๆ เปลี่ยนอิริยาบถ หรือเบนความสนใจชั่วคราว

  • เมื่อความตื่นตัวลดลงแล้ว ค่อยเริ่มใหม่

  • ทำซ้ำ 3–4 รอบก่อนปล่อยให้ถึงจุดสุดยอด
    ทำสม่ำเสมอ จะช่วยฝึกระบบประสาทให้ทนต่อการกระตุ้นได้นานขึ้น

2) เทคนิค Squeeze (บีบชะลอ)

  • ทำกิจกรรมจน “เกือบถึง” แล้วใช้นิ้วกดบริเวณใต้หัวองคชาตใกล้เส้นสองสลึง (frenulum) ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างหัวองคชาตและลำองคชาต บีบแน่นแต่ไม่แรงจนเกินไป 3–5 วินาที จนความตื่นตัวลด แล้วเริ่มใหม่

  • บางรายใช้ internal squeeze คือหยุดการเคลื่อนไหวแล้ว เกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อกดความรู้สึกอยากหลั่งจากด้านในได้ผลคล้ายกัน

เคยมีรายงานว่าผู้ชาย ~64% คุมการหลั่งได้ดีขึ้นเมื่อฝึกสม่ำเสมอ (แต่ถ้าหยุดฝึกนาน ผลอาจลดลง)

3) เทคนิครอบสอง หรือการช่วยตัวเองให้หลั่งก่อนมีเพศสัมพันธ์จริง

  • ใช้ประโยชน์จาก ระยะพักหลังหลั่ง (refractory period) คือหลั่งครั้งที่ 1 ก่อน แล้วพัก ประมาณ 1 ชั่วโมง ค่อยเริ่มรอบสอง ซึ่งมักทนได้นานขึ้น

  • ถ้าพักสั้นเกินไปอาจหมดอารมณ์หรือแข็งตัวใหม่ได้ยาก ให้ลองปรับช่วงเวลาจนเหมาะกับตัวเอง

4) ใช้ถุงยางอย่างแบบเฉพาะ

  • ถุงยางรุ่นหนาพิเศษหรือผสมสารชะลอการหลั่ง ช่วยลดความไวสัมผัส ทำให้หลั่งช้าลงได้

  • ไม่แนะนำใส่ถุงยางซ้อน 2 ชั้นเพราะเสียดสีสูง เสี่ยงถุงแตกมากกว่า

5) จัดการบรรยากาศและสื่อสารกับคู่

  • ใช้สัญญาณตกลงกันว่าคืนนี้อยากมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ ช่วยลดความกดดัน

6) ปรับท่าทางจังหวะ และขยายเวลาเล้าโลม (Foreplay)

  • สลับท่วงท่า ลดแรงเสียดสี จุดสัมผัสไว หยุดพักเป็นช่วง ๆ

  • เพิ่มกิจกรรมสร้างความสุขนอกเหนือการสอดใส่ ลดแรงกดดัน


กลุ่มที่ 2: เคเกล/กายภาพอุ้งเชิงกราน

กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะ ischiocavernosus และ bulbocavernosus มีบทบาทกับการแข็งตัวและการหลั่ง การฝึกเคเกล (Kegel Exercises) อย่างถูกวิธีช่วยยืดเวลาการหลั่งและเพิ่มการควบคุม

หาให้ถูกมัดก่อน

  • ขณะปัสสาวะ ลองหยุดฉี่กลางสายชั่วครู่ ถ้าหยุดได้แปลว่าเกร็งกล้ามเนื้อถูกมัด (อย่าฝึกหยุดปัสสาวะบ่อยเกินไป จุดประสงค์เพียงเพื่อทดสอบว่าขมิบกล้ามเนื้อถูกมัดเท่านั้น)

โปรแกรมเคเกลแบบปฏิบัติจริง

A) นอนหงาย 

  1. นอนหงาย ชันเข่า มือแนบลำตัววางที่พื้น

  2. พยายามยกองคชาตและอัณฑะเข้าหาลำตัว โดยใช้กล้ามอุ้งเชิงกราน (ไม่ใช่การยกก้น) ค้าง 5 วินาที แล้วคลาย

  3. เกร็งรอบทวารหนักเหมือนกลั้นอุจจาระ ค้าง 5 วินาที แล้วคลาย

  4. ทำสลับข้อ 2–3 จำนวน 8–10 ครั้ง/เซต รวมทั้งหมด 3–5 เซต

B) นอนตะแคง

  1. นอนตะแคง สอดหมอนคั่นระหว่างเข่าให้ขาแยกเล็กน้อย

  2. ใช้เข่าหนีบหมอนค้าง 5 วินาที แล้วคลาย

  3. ทำจำนวน 8–10 ครั้ง/เซต รวมทั้งหมด 3–5 เซต

C) นั่งเก้าอี้

  1. นั่งหลังตรงบนเก้าอี้ให้สบาย

  2. เกร็งกล้ามอุ้งเชิงกรานเหมือนกลั้นปัสสาวะ ค้าง 5 วินาที แล้วคลาย

  3. ทำจำนวน 8–10 ครั้ง/เซต รวมทั้งหมด 3–5 เซตทริคสำคัญ: หายใจปกติ ไม่กลั้นหายใจ อย่าเบ่งหน้าท้อง/กดลงล่าง ให้ “ยกขึ้น” ที่อุ้งเชิงกราน คลายเต็มที่ระหว่างครั้ง และค่อย ๆ เพิ่มเวลาค้างเป็น 10 วินาที

ส่วนใหญ่เริ่มเห็นผล ภายใน ~4 สัปดาห์ หากทำทุกวัน

ถ้าฝึกแล้วเจ็บให้หยุดและปรึกษานักกายภาพอุ้งเชิงกราน


กลุ่มที่ 3: ทางเลือกการใช้ยา—ใช้เมื่อจำเป็นและภายใต้การดูแลของแพทย์

1) ยาชาเฉพาะที่ (สเปรย์หรือครีม ลิโดเคน/พริโลเคน)

  • ทาปลายหัวองคชาตโดยเฉพาะบริเวณที่รู้สึกว่าไวต่อการสัมผัส เช่นด้านล่างหัวใกล้เส้นสองสลึง ทิ้งไว้ 10–15 นาที ก่อนกิจกรรม เช็ดหรือล้างส่วนเกินออก หรือร่วมกับการใส่ถุงยางอนามัย เพื่อลดการชาในคู่นอนอีกฝ่าย

  • ข้อควรระวัง: อาจลดความรู้สึกเพศหรือมีปัญหาการแข็งตัว ถ้าใช้มากหรือนานไป

2) ยากลุ่ม SSRI

  • เช่น ดาพอกซิทีน (กินก่อนกิจกกรม เป็น on-label) พาร็อกซิทีน เซอร์ทราลีน (เป็นยา Off-label)

  • มักเริ่มขนาดต่ำและ ปรับทุก 3–4 สัปดาห์

  • ผลข้างเคียง: ความต้องการลดลง ถึงจุดสุดยอดช้า แข็งตัวยาก ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับ คลื่นไส้

  • โดยรวมแบบกินทุกวัน คุมได้ดีกว่าแบบกินเฉพาะก่อนกิจกรรม แต่เป็นการใช้นอกข้อบ่งชี้ (off-label)

3) ทรามาดอล

  • มีฤทธิ์ต่อระบบโอปิออยด์และสารสื่อประสาท อาจช่วยยืดเวลาหลั่งเมื่อใช้ ก่อนกิจกรรม ~2 ชม.

  • เป็นการใช้นอกข้อบ่งชี้ (off-label)
  • ควรหลีกเลี่ยงการใช้เอง เนื่องจากเสี่ยงง่วงนอน เวียนหัว คลื่นไส้

4) ยาอื่น ๆ

  • PDE5 inhibitors (เช่น ซิลเดนาฟิล ทาดาลาฟิล) ไม่ได้ยืด IELT โดยตรง แต่ช่วยเรื่อง ความมั่นใจและการควบคุมการหลั่ง โดยเฉพาะในคนที่มี ED ร่วม

  • Alpha-blockers บางรายยืดเวลาหลั่งได้ แต่เสี่ยงน้ำอสุจิย้อนกลับหรือไม่หลั่ง—ใช้เฉพาะกรณีเหมาะสม

หมายเหตุ: ในหลายประเทศ ยังไม่มี ยาที่ “อนุมัติเฉพาะข้อบ่งชี้ PE” การใช้ยาจึงมักเป็น off-label ควรให้แพทย์ประเมินรายบุคคล


กลุ่มที่ 4: จิตบำบัด/เพศบำบัด

ปัจจัยด้านอารมณ์ ความคิด ความคาดหวัง และความสัมพันธ์ มีผลมากกับหลั่งเร็ว
เป้าหมายหลัก:

  • ลด performance anxiety และเพิ่มความมั่นใจ

  • ปรับรูปแบบเพศสัมพันธ์ให้ยืดหยุ่น ไม่ เร่งรีบหรือกดดัน

  • ฝึกสื่อสารกับคู่ เพิ่มความเข้าใจและความร่วมมือ

เครื่องมือที่ใช้บ่อย

  • Sensate Focus: ช่วงแรกเน้น สัมผัสร่างกายของกันและกันอย่างตั้งใจโดยยังไม่สอดใส่ เพื่อลดแรงกดดัน แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับกิจกรรม

  • ฝึก Stop–Start และ Squeeze ในบริบทที่ปลอดภัยและมีคู่ร่วมมือด้วย

  • ปรับกรอบความคิดจากที่ต้องควบคุมให้ได้ทุกครั้ง เป็นค่อยๆ ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

หลายงานพบว่า จิตบำบัด + เทคนิคพฤติกรรม + การใช้ยาที่เหมาะสม ให้ผลดีที่สุดและยั่งยืนกว่าใช้วิธีเดียว


เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

  • มี ED ร่วม หรืออาการทางระบบทางเดินปัสสาวะ

  • สงสัย ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน น้ำหนักลด ใจสั่น เหงื่อออกง่าย

  • อาการรุนแรง/เป็นมานาน/กระทบความสัมพันธ์ชัด

  • ลองฝึกควบคุมการหลั่งและฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน 4 สัปดาห์แล้วยังไม่ดีขึ้น

  • ต้องการเริ่มยา หรืออยากได้แนวทางจิตบำบัดอย่างเป็นระบบ


คำถามพบบ่อย

Q: หากปฏบัติตามวิธีดังกล่าวจะหายขาดไหม?
A: วิธีกล่าวมาอาจไม่ทำให้คุณหายขาดได้ แต่ทำให้คุณควบคุมการหลั่งได้ดีมากและให้ผลที่ยั่งยืน

Q: เคเกลเห็นผลเมื่อไหร่?
A: ส่วนใหญ่ ~4 สัปดาห์ หากทำทุกวันตามโปรแกรม

Q: ยาชาเฉพาะที่ปลอดภัยหรือไม่?
A: โดยรวมปลอดภัยหากใช้ถูกวิธี ทาก่อน 10–15 นาที เช็ดหรือล้างส่วนเกินออก หรือร่วมกับการใส่ถุงยาง เพื่อลดโอกาสชาในคู่นอน

Q: ควรกินยาแบบทุกวันหรือก่อนกิจกรรมพอ?
A: โดยรวม ทุกวัน คุมได้ดีกว่า แต่บางคนเลือกใช้เฉพาะกิจตามดุลยพินิจแพทย์เพื่อลดผลข้างเคียง

Q: ต้องเริ่มจากอะไรดี?
A: เริ่มจาก Start–Stop, Squeeze, ถุงยางรุ่นพิเศษ, เคเกล, สื่อสารกับคู่ หากยังไม่พอค่อยพิจารณา ยาชา/ยากิน SSRI ภายใต้คำแนะนำแพทย์


สรุป: ผสมผสานหลายวิธี ผลลัพธ์ดีที่สุด

การแก้หลั่งเร็วที่ยั่งยืนคือ ทำหลายวิธีควบคู่ทั้งฝึกพฤติกรรม (Start–Stop/Squeeze), เคเกลสม่ำเสมอ บริหารความกังวลผ่านกิจกรรมเพศบำบัด และพิจารณายาที่เหมาะสมภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมช่วยปรับแผนให้เหมาะกับคุณและคู่ของคุณ หากพยายามอย่างเต็มที่แล้วยังไมาสามารถแก้ไขปัญหาได้ก็อาจจำเป็นต้องใช้หัตถการอื่น ๆ มาช่วยครับ

นพ.อรรถวุฒิ ลิมป์แสงรัตน์
แพทย์ด้านสุขภาพเพศ และแพทย์เฉพาะทาง Preventive Medicine

 

แหล่งอ้างอิง

https://www.webmd.com/men/best-exercises-erectile-dysfunction-premature-ejaculation

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC7851481/

https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK546701/

https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/premature-ejaculation/diagnosis-treatment/drc-20354905

บทความที่เกี่ยวข้อง