การรักษา ED ด้วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell): วิธีการและข้อเท็จจริง

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ED เป็นปัญหาใหญ่ที่ส่งผลต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ชาย พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคนและวัยสูงอายุ โดยสาเหตุหลักๆ ของ ED เกิดจากความเสื่อมของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศชาย ความผิดปกติของฮอร์โมน และโรคประจำตัว

การรักษาภาวะ ED

การรักษาภาวะ ED หรือนกเขาไม่ขันมีหลากหลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค เช่น การใช้ยา การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ การใช้เวชศาสตร์ฟื้นฟู การใช้ Stem Cell หรือเซลล์ต้นกำเนิดรักษาสมรรถภาพเพศชาย ไปจนถึงการผ่าตัด

การใช้สเต็มเซลล์ในการรักษา ED

ในปัจจุบันเราจะเริ่มได้ยินเรื่องการใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์บำบัด (Stem Cell Therapy) มาใช้ในการรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (ED: Erectile Dysfunction) กันมากขึ้น หลายๆที่มีการทำการตลาดกันอย่างหนัก และมีการอ้างถึงประสิทธิภาพของเซลล์บำบัดว่าสามารถทำให้อวัยวะเพศกลับมาแข็งได้

แต่ในความเป็นจริง สเต็มเซลล์ก็มีข้อจำกัดเหมือนวิธีการรักษาอื่นๆ ซึ่งมีทั้งผู้ที่รับผลลัพธ์ดีและผู้ที่ไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีมากนัก ขึ้นอยู่กับสภาวะของร่างกายในแต่ละบุคคล ฉะนั้นการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ก่อนตัดสินใจเข้ารับการรักษาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

สเต็มเซลล์คือผู้สร้างปาฏิหาริย์?

เซลล์ต้นกำเนิดหรือสเต็มเซลล์ (Stem Cell) เป็นเซลล์ที่มีความพิเศษ เนื่องจากมีความสามารถในการแบ่งตัวได้โดยไม่จำกัดและสามารถแปลงเป็นเซลล์ชนิดต่าง ๆ ของร่างกายได้ จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการนำมาใช้ในด้านแพทย์ทางเลือกและเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Regenerative Medicine) อย่างแพร่หลาย

การวิจัยเกี่ยวกับสเต็มเซลล์ในการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) ที่ถูกพูดถึงในปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นการทดลองในสัตว์ เช่น หนู โดยมักจะใช้วิธีการวัดผลจากการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อและชีวเคมีต่าง ๆ ซึ่งไม่สามารถตีความผลลัพธ์ในมิติของการใช้งานจริงได้อย่างแท้จริง เช่น ประสิทธิภาพในการมีเพศสัมพันธ์ ระดับความแข็งแรงของอวัยวะเพศ หรือผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้องกับการสอดใส่

กลไกการรักษา ED ด้วยสเต็มเซลล์

การรักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction: ED) ด้วยสเต็มเซลล์ (Stem Cell) ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลไกการทำงาน แต่มีสมมติฐานบางส่วนที่ได้รับความสนใจว่า ผลลัพธ์อาจจะเกิดจากการหลั่งโกรท แฟคเตอร์ (Growth Factor) และสารต้านการอักเสบต่างๆ (Anti-Inflammatory substances) โดยสมมติฐานดังกล่าวมาจากกลไก 4 ข้อดังนี้

  1. การช่วยฟื้นฟูฟังก์ชันการทำงานของเซลล์ผนังหลอดเลือดในพื้นที่ที่ถูกฉีดสเต็มเซลล์
  2. การลดการเกิดพังผืด (Fibrosis) ในพื้นที่ที่มีการฉีดสเต็มเซลล์ พร้อมกับการเพิ่มสัดส่วนของกล้ามเนื้อเรียบ
  3. การฟื้นฟูระบบประสาทในพื้นที่ที่มีการฉีดสเต็มเซลล์
  4. การลดการตายของเซลล์ (Apoptosis) และลดการอักเสบของหลอดเลือดที่มีผลมาจากโรคเบาหวานและโรคอ้วน

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ สเต็มเซลล์ ที่ใช้รักษา ED

  1. แหล่งที่มาของสเต็มเซลล์ที่ใช้: งานวิจัยส่วนใหญ่ใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จากไขกระดูก (BMSC: Bone marrow-derived stem cells) และเนื้อเยื่อไขมัน (ADSC: adipose-derived stem cells)
  2. วิธีการฉีด: ส่วนใหญ่จะเป็นการฉีดเข้าเนื้อเยื่อขององคชาตโดยตรง (ICI: Intracavernosal injection)
  3. ผลข้างเคียง: จากงานวิจัยที่ผ่านมายังไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง
  4. ผลลัพธ์: การทดลองเชิงคลินิกในมนุษย์ครั้งแรก ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 2010 เป็นการใช้สเต็มเซลล์ (Stem Cell) จากสายสะดือรักษาคนไข้ที่เป็น ED จากเบาหวาน

6 เรื่องที่ต้องรู้ก่อนตัดสินใจใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาภาวะ ED

  1. กลุ่มที่สามารถรักษาด้วยการใช้สเต็มเซลล์: กลุ่มคนไข้ ED ที่มีข้อมูลงานวิจัยรองรับ เช่น คนที่เป็น ED เนื่องจากโรคเบาหวาน, คนที่เป็น ED ร่วมกับ Metabolic Syndrome, คนที่เป็น ED หลังผ่าตัดต่อมลูกหมาก
  2. ความน่าเชื่อถือของงานวิจัย: งานวิจัยเรื่องสเต็มเซลล์มีขนาดเล็กและมีกลุ่มตัวอย่างน้อย
  3. ระยะเวลาที่เห็นผลลัพธ์: ข้อมูลส่วนใหญ่ระบุว่าผลลัพธ์เริ่มเห็นได้หลังฉีด 1 เดือนขึ้นไป
  4. ระยะเวลาที่ผลลัพธ์อยู่ได้: ผลลัพธ์ไม่คงที่ตลอดไป สามารถอยู่ได้ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี
  5. ปริมาณและจำนวนเซลล์ที่ฉีด: การใช้จำนวนเซลล์ในการรักษา อยู่ที่ประมาณ 15 ล้านเซลล์ขึ้นไป
  6. การเปรียบเทียบกับวิธีการรักษาอื่น: ยังไม่มีการวิจัยเปรียบเทียบการรักษาด้วยสเต็มเซลล์กับวิธีการอื่นๆ

สรุปคำแนะนำสำหรับคนที่อยากรักษา ED ด้วย Stem Cell

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุของอาการ ED: ควรพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุของอาการ ED และใช้วิธีการรักษามาตรฐานที่มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและได้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน
  2. พิจารณารักษาด้วยวิธีมาตรฐาน: เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การควบคุมโรคประจำตัว การรักษาด้วยยา การฟื้นฟูด้วยช็อคเวฟ (Shockwave Therapy), การใช้ P-Shot, การให้ฮอร์โมนทดแทน
  3. การพิจารณาการใช้สเต็มเซลล์: หากการรักษามาตรฐานไม่เป็นผลและยังมีความต้องการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาภาวะ ED ก็ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม

 

นพ.ธนาคม สุขเจริญ
แพทย์ด้านสุขภาพเพศ และแพทย์เฉพาะทาง Preventive Medicine
ประจำ Max Wellness Clinic

บทความที่เกี่ยวข้อง

เมื่อพูดถึงการขริบอวัยวะเพศชาย การเลือกวิธีที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการขริบแบบ Sleeve, Free Hand หรือ Stapler แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป การขริบแบบ Sleeve เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่เรียบเนียนและดูเป็นธรรมชาติ ขณะที่การขริบแบบ Free Hand อาจเป็นทางเลือกที่รวดเร็วและไม่ซับซ้อน แต่ต้องการทักษะและความชำนาญของแพทย์สูง ส่วนการขริบแบบ Stapler นั้นโดดเด่นด้วยความรวดเร็วและความแม่นยำ แต่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง การตัดสินใจเลือกวิธีใดควรพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย ความต้องการของผู้ป่วย และความชำนาญของแพทย์