ภาวะ หลั่งช้า (Delayed Ejaculation; DE) เป็นความผิดปกติของการหลั่งในผู้ชายที่มักใช้เวลานานมาก หรือจำเป็นต้องมีการกระตุ้นอย่างเข้มข้นถึงจะหลั่งน้ำอสุจิได้ ภาวะนี้อาจเกิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับคู่หรือขณะช่วยตัวเอง และถือเป็นปัญหาเมื่ออาการนี้เกิดอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียดหรือไม่พอใจในชีวิตทางเพศ
แพทย์จะแบ่งภาวะนี้ออกเป็น 2 ประเภท ตามช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการและรูปแบบที่เกิดขึ้น:
หลั่งช้าแบบเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม (Lifelong Delayed Ejaculation): ผู้ชายมีปัญหาหลั่งช้าตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และยังคงเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
หลั่งช้าแบบเกิดภายหลัง (Acquired Delayed Ejaculation): ผู้ชายเคยมีการหลั่งที่ปกติดีมาก่อน แต่ต่อมามีระยะเวลาในการหลั่งยาวนานขึ้นหรือไม่สามารถหลั่งได้เลย ทั้งที่การกระตุ้นและความต้องการทางเพศยังคงมีอยู่
ภาวะนี้ยังอาจแบ่งได้ตามสถานการณ์ เช่น หลั่งช้าเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่แต่หลั่งได้ปกติเมื่อช่วยตัวเอง หรือเกิดขึ้นทุกสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยกำหนดแนวทางรักษาที่ตรงจุด
ภาวะหลั่งช้าเป็นความผิดปกติที่พบได้น้อยกว่าหลั่งเร็ว แต่อัตราการพบอาจอยู่ในช่วง 1–10% ของผู้ชาย ขึ้นกับวิธีวัดและประชากรที่ศึกษา งานวิจัยปี 2023 รายงานว่ามีอย่างน้อยร้อยละ 5–10 ของผู้ชายที่ประสบปัญหาหลั่งยากหรือหลั่งช้า แม้ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลทางจิตใจและความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง เพราะการใช้เวลาหลั่งนานเกินไปสามารถนำไปสู่ความเหนื่อยล้า ความกังวล และความเครียดทั้งในตัวผู้ชายและคู่รัก ทำให้สูญเสียความมั่นใจและความสนุกสนานในชีวิต นอกจากนี้ผู้ชายที่ไม่สามารถหลั่งได้อาจมีปัญหาในการมีบุตรโดยธรรมชาติ
ภาวะหลั่งช้ามีสาเหตุหลากหลายทั้งทางกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เลือกแนวทางรักษาได้เหมาะสม
โรคทางระบบประสาท: โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บไขสันหลัง ปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) ทำให้การส่งสัญญาณประสาทสั่งการหลั่งผิดปกติ
ความผิดปกติของฮอร์โมน: ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (hypothyroidism) และระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำทำให้ความต้องการทางเพศและการหลั่งลดลง
การอุดตันหรือความผิดปกติของท่อหลั่ง: เช่น ท่อหลั่ง (ejaculatory duct) อุดตัน การอักเสบของต่อมลูกหมาก หรือต่อมลูกหมากโตทำให้น้ำอสุจิหลั่งยาก
การใช้ยา: ยาต้านเศร้า (SSRIs/TCAs) ยาต้านจิตเวช ยาแก้ปวดโอปิออยด์ ยาลดความดันบางชนิด รวมถึงการใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเป็นประจำ ล้วนสามารถทำให้การหลั่งช้าลง
ความเสื่อมตามอายุ: ผู้ชายสูงอายุมีแนวโน้มเกิดหลั่งช้ามากขึ้นจากการเสื่อมของระบบประสาทและหลอดเลือด
ความวิตกกังวลเรื่องสมรรถภาพทางเพศ: กลัวจะทำให้คู่รักไม่พอใจ กลัวการตั้งครรภ์ หรือกลัวติดเชื้อ ทำให้จิตใจขาดสมาธิและหลั่งได้ช้า
ความรู้สึกผิดหรือความเชื่อทางศาสนา: หากมองการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องผิด การหลั่งอาจยากขึ้นเพราะจิตใจต่อต้าน
ภาวะซึมเศร้าหรือเครียดเรื้อรัง: ภาวะจิตใจที่ย่ำแย่จากงานหรือความสัมพันธ์ ส่งผลให้หลั่งได้ยาก
พฤติกรรมช่วยตัวเองผิดปกติ: การช่วยตัวเองด้วยวิธีการหรือแรงกด บีบรัดที่สูงมากจนคุ้นเคย อาจทำให้การหลั่งกับคู่ทำได้ยาก
ความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์: ความขัดแย้งที่ไม่ได้พูดคุยกันอาจทำให้ไม่อยากถึงจุดสุดยอดกับคู่
ความผิดปกติทางจิตเวชอื่น: เช่น โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือภาวะ PTSD
ปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม: ความคาดหวังสูงเกินไปเกี่ยวกับการมีเซ็กซ์อาจทำให้เกิดความกดดัน
ปัญหาการใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์: อาจชะลอการหลั่งให้นานขึ้นและมีผลเสียอื่นต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ
แพทย์จะถามประวัติอย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยใช้เวลานานเท่าไรจนหลั่งได้ และเกิดขึ้นทุกครั้งหรือเฉพาะบางสถานการณ์ รวมถึงถามว่าเคยหลั่งได้ปกติหรือไม่ เพื่อแยกความผิดปกติแบบแรกเริ่มกับแบบเกิดภายหลัง นอกจากนี้ต้องถามว่าผู้ป่วยสามารถหลั่งได้ตามปกติเมื่อช่วยตัวเองหรือไม่ การตอบคำถามเหล่านี้จะช่วยวินิจฉัยว่าเป็นหลั่งช้าประเภทใดและหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
ตรวจระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท: ตรวจสอบต่อมลูกหมาก ท่อหลั่ง และการตอบสนองของเส้นประสาท
ตรวจเลือด: ตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนไทรอยด์ น้ำตาลในเลือด และโปรแลคติน เพื่อคัดกรองโรคทางกายที่อาจเกี่ยวข้อง
ตรวจวินิจฉัยอื่น: อาจทำอัลตราซาวนด์หรือส่องกล้องในรายที่สงสัยว่าท่อหลั่งอุดตันหรือมีเนื้องอก
การประเมินจิตใจและความสัมพันธ์: ตามไกด์ไลน์ของ AUA/SMSNA แนะนำให้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดทางเพศ เพื่อประเมินสภาพจิตใจและค้นหาปัจจัยทางจิตที่เกี่ยวข้อง
เนื่องจากภาวะหลั่งช้ามีสาเหตุต่างกัน การรักษาจึงต้องปรับให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ยัง ไม่มี ยาที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับรักษา DE โดยเฉพาะ และการใช้ยาส่วนใหญ่เป็นการใช้นอกข้อบ่งใช้ (off-label) แนวทางรักษาที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่
การบำบัดทางเพศและจิตวิทยา: เน้นแก้ปัญหาความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด หรือปมทางจิตซึ่งเป็นสาเหตุให้หลั่งช้า
ปรับพฤติกรรมช่วยตัวเอง: เปลี่ยนรูปแบบการช่วยตัวเองให้ใกล้เคียงกับการร่วมเพศจริง เพื่อปรับตัวและฝึกการควบคุมการหลั่ง
เทคนิคผ่อนคลายและสมาธิ: เช่น ฝึกหายใจลึก ๆ โยคะ หรือการทำสมาธิเพื่อลดความเครียด
เปลี่ยนท่าทางหรือสภาพแวดล้อม: คู่รักอาจลองปรับท่วงท่าหรือใช้เวลาเล้าโลมนานขึ้นเพื่อเพิ่มความเร้าอารมณ์ตามคำแนะนำของไกด์ไลน์ของ AUA
ปรับหรือเปลี่ยนยา: หาก DE เกิดจากยารักษาโรค เช่น SSRIs, TCAs หรือยาลดความดัน แพทย์อาจปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนเป็นยากลุ่มอื่น
รักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ: หากเกิดจากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือปัญหาไทรอยด์ ควรรักษาโรคนั้นควบคู่
ให้ฮอร์โมนทดแทน: ในรายที่มีภาวะขาดเทสโทสเตอโรน การให้ฮอร์โมนทดแทนอาจช่วยฟื้นฟูความต้องการและการหลั่ง
ยังไม่มีหลักฐานมากพอสนับสนุนการใช้ยาชนิดหนึ่งชนิดใด แต่มีการทดลองใช้ยาหลายกลุ่ม ได้แก่:
ยากระตุ้นโดปามีน/นอร์อะดรีนาลีน: เช่น bupropion หรือ amantadine ซึ่งอาจช่วยในบางราย
ยา cyproheptadine
Dopamine agonist: เช่น cabergoline ใช้ในผู้ที่มีโปรแลคตินสูง
ยาอื่น ๆ เช่น buspirone, oxytocin, pseudoephedrine: มีรายงานบางชิ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอและอาจมีผลข้างเคียง จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์
การเก็บอสุจิด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าหรือการสั่น: ใช้อุปกรณ์กระตุ้นที่องคชาตหรือบริเวณฝีเย็บเพื่อให้สามารถหลั่งน้ำอสุจิออกมาแล้วนำไปทำเด็กหลอดแก้ว
Microsurgical Testicular Sperm Extraction (TESE): เจาะเก็บสเปิร์มจากอัณฑะเพื่อนำไปทำ ICSI สำหรับคู่ที่ไม่สามารถหลั่งได้เลยแต่ต้องการมีลูก
การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือ Kegel exercise เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ผู้ชายควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งได้ดีขึ้น การเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บซ้ำ ๆ สามารถช่วยเพิ่มความตระหนักและควบคุมการหลั่งได้
นักวิจัยกำลังศึกษาวิธีใหม่ เช่น การกระตุ้นระบบประสาทด้วยไฟฟ้า และ การใช้โมเลกุลใหม่ (เมลาโทนิน, คาร์บอนมอนอกไซด์, ไนตริกออกไซด์) อีกแนวทางคือเทคโนโลยี Hi-FEM (High‑Intensity Focused Electromagnetic) ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การศึกษานำร่องพบว่า HIFEM อาจช่วยเพิ่มความถี่การถึงจุดสุดยอดและความสุขทางเพศ แต่ยังไม่มีหลักฐานเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหลั่งช้า และต้องการการวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต
ภาวะหลั่งช้าบางสาเหตุไม่อาจป้องกันได้ เช่น ความเสื่อมตามวัยหรือโรคประจำตัว แต่ผู้ชายสามารถลดความเสี่ยงและบรรเทาปัญหาได้ด้วยการดูแลตนเองดังนี้:
ลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด: การใช้สารเหล่านี้เป็นเวลานานทำให้การตอบสนองทางเพศลดลง จึงควรหลีกเลี่ยง
พักผ่อนและออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอและนอนหลับเพียงพอช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดความเครียด
บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: ฝึก Kegel exercises อย่างต่อเนื่องเพื่อตระหนักและควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง
พูดคุยกับคู่รัก: การสื่อสารอย่างเปิดใจถึงความรู้สึก ความคาดหวัง และปัญหา เพื่อลดความเครียดและสร้างความเข้าใจกัน
ดูแลสุขภาพโรคประจำตัว: รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ หรือต่อมลูกหมากอักเสบ
การสื่อสารและความเข้าใจเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการภาวะหลั่งช้า:
เปิดใจพูดคุย: บอกคู่รักว่าปัญหาเป็นภาวะทางการแพทย์ ไม่ใช่ความผิดของใคร สื่อสารความรู้สึกและความต้องการอย่างตรงไปตรงมา
หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือการล้อเลียน: การใช้คำพูดในเชิงลบจะเพิ่มความเครียดและความวิตกกังวล
ปรับมุมมองเรื่องเพศ: เซ็กซ์ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการหลั่งของฝ่ายชาย การเน้นการเล้าโลมหรือใช้วิธีอื่นช่วยคู่รักถึงจุดสุดยอดก็ช่วยเติมเต็มความสุขได้
เข้ารับการปรึกษาร่วมกัน: หากปัญหานี้สร้างความขัดแย้ง ควรปรึกษานักบำบัดทางเพศหรือนักจิตวิทยาร่วมกัน
ภาวะหลั่งช้าเป็นความผิดปกติที่ส่งผลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้ชายบางคนใช้เวลานานมากหรือไม่สามารถหลั่งได้ การเข้าใจสาเหตุทั้งทางกายและจิตใจ การประเมินประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการประเมินสภาพจิตใจจะช่วยระบุปัจจัยที่ต้องแก้ไข การรักษามีหลายวิธี ตั้งแต่การบำบัดพฤติกรรม การปรับยา การรักษาโรคประจำตัว การใช้ยานอกข้อบ่งใช้ในบางราย ไปจนถึงแนวทางใหม่เช่น Hi-FEM แม้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม การสื่อสารที่ดีกับคู่รักและการดูแลตนเองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผู้ชายฟื้นฟูความมั่นใจและสุขภาพทางเพศได้ในระยะยาว
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/22125-delayed-ejaculation
https://www.verywellhealth.com/delayed-ejaculation-3300047