อัพเดทข้อมูลล่าสุดและเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับอาการหลั่งช้า

ความหมายและการจำแนกประเภทของภาวะหลั่งช้า

ภาวะ หลั่งช้า (Delayed Ejaculation; DE) เป็นความผิดปกติของการหลั่งในผู้ชายที่มักใช้เวลานานมาก หรือจำเป็นต้องมีการกระตุ้นอย่างเข้มข้นถึงจะหลั่งน้ำอสุจิได้  ภาวะนี้อาจเกิดระหว่างมีเพศสัมพันธ์กับคู่หรือขณะช่วยตัวเอง และถือเป็นปัญหาเมื่ออาการนี้เกิดอย่างต่อเนื่องจนทำให้ผู้ชายรู้สึกเครียดหรือไม่พอใจในชีวิตทางเพศ

ประเภทของภาวะหลั่งช้า

แพทย์จะแบ่งภาวะนี้ออกเป็น 2 ประเภท ตามช่วงเวลาที่เริ่มมีอาการและรูปแบบที่เกิดขึ้น:

  1. หลั่งช้าแบบเกิดขึ้นตั้งแต่แรกเริ่ม (Lifelong Delayed Ejaculation): ผู้ชายมีปัญหาหลั่งช้าตั้งแต่เริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก และยังคงเป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

  2. หลั่งช้าแบบเกิดภายหลัง (Acquired Delayed Ejaculation): ผู้ชายเคยมีการหลั่งที่ปกติดีมาก่อน แต่ต่อมามีระยะเวลาในการหลั่งยาวนานขึ้นหรือไม่สามารถหลั่งได้เลย ทั้งที่การกระตุ้นและความต้องการทางเพศยังคงมีอยู่

ภาวะนี้ยังอาจแบ่งได้ตามสถานการณ์ เช่น หลั่งช้าเฉพาะเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่แต่หลั่งได้ปกติเมื่อช่วยตัวเอง หรือเกิดขึ้นทุกสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยกำหนดแนวทางรักษาที่ตรงจุด

อุบัติการณ์และผลกระทบต่อชีวิต

ภาวะหลั่งช้าเป็นความผิดปกติที่พบได้น้อยกว่าหลั่งเร็ว แต่อัตราการพบอาจอยู่ในช่วง 1–10% ของผู้ชาย ขึ้นกับวิธีวัดและประชากรที่ศึกษา งานวิจัยปี 2023 รายงานว่ามีอย่างน้อยร้อยละ 5–10 ของผู้ชายที่ประสบปัญหาหลั่งยากหรือหลั่งช้า แม้ภาวะนี้ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ส่งผลทางจิตใจและความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง เพราะการใช้เวลาหลั่งนานเกินไปสามารถนำไปสู่ความเหนื่อยล้า ความกังวล และความเครียดทั้งในตัวผู้ชายและคู่รัก ทำให้สูญเสียความมั่นใจและความสนุกสนานในชีวิต นอกจากนี้ผู้ชายที่ไม่สามารถหลั่งได้อาจมีปัญหาในการมีบุตรโดยธรรมชาติ

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ภาวะหลั่งช้ามีสาเหตุหลากหลายทั้งทางกาย จิตใจ และสิ่งแวดล้อม การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้เลือกแนวทางรักษาได้เหมาะสม

1. ปัจจัยทางกายและระบบประสาท

  • โรคทางระบบประสาท: โรคหลอดเลือดสมอง การบาดเจ็บไขสันหลัง ปลายประสาทอักเสบจากเบาหวาน หรือโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) ทำให้การส่งสัญญาณประสาทสั่งการหลั่งผิดปกติ

  • ความผิดปกติของฮอร์โมน: ภาวะไทรอยด์ทำงานน้อย (hypothyroidism) และระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำทำให้ความต้องการทางเพศและการหลั่งลดลง

  • การอุดตันหรือความผิดปกติของท่อหลั่ง: เช่น ท่อหลั่ง (ejaculatory duct) อุดตัน การอักเสบของต่อมลูกหมาก หรือต่อมลูกหมากโตทำให้น้ำอสุจิหลั่งยาก

  • การใช้ยา: ยาต้านเศร้า (SSRIs/TCAs) ยาต้านจิตเวช ยาแก้ปวดโอปิออยด์ ยาลดความดันบางชนิด รวมถึงการใช้แอลกอฮอล์หรือสารเสพติดเป็นประจำ ล้วนสามารถทำให้การหลั่งช้าลง

  • ความเสื่อมตามอายุ: ผู้ชายสูงอายุมีแนวโน้มเกิดหลั่งช้ามากขึ้นจากการเสื่อมของระบบประสาทและหลอดเลือด

2. ปัจจัยทางจิตใจและพฤติกรรม

  • ความวิตกกังวลเรื่องสมรรถภาพทางเพศ: กลัวจะทำให้คู่รักไม่พอใจ กลัวการตั้งครรภ์ หรือกลัวติดเชื้อ ทำให้จิตใจขาดสมาธิและหลั่งได้ช้า

  • ความรู้สึกผิดหรือความเชื่อทางศาสนา: หากมองการมีเพศสัมพันธ์เป็นเรื่องผิด การหลั่งอาจยากขึ้นเพราะจิตใจต่อต้าน

  • ภาวะซึมเศร้าหรือเครียดเรื้อรัง: ภาวะจิตใจที่ย่ำแย่จากงานหรือความสัมพันธ์ ส่งผลให้หลั่งได้ยาก

  • พฤติกรรมช่วยตัวเองผิดปกติ: การช่วยตัวเองด้วยวิธีการหรือแรงกด บีบรัดที่สูงมากจนคุ้นเคย อาจทำให้การหลั่งกับคู่ทำได้ยาก

  • ความไม่พึงพอใจในความสัมพันธ์: ความขัดแย้งที่ไม่ได้พูดคุยกันอาจทำให้ไม่อยากถึงจุดสุดยอดกับคู่

3. ปัจจัยอื่น ๆ

  • ความผิดปกติทางจิตเวชอื่น: เช่น โรควิตกกังวล โรคย้ำคิดย้ำทำ หรือภาวะ PTSD

  • ปัจจัยทางสังคมวัฒนธรรม: ความคาดหวังสูงเกินไปเกี่ยวกับการมีเซ็กซ์อาจทำให้เกิดความกดดัน

  • ปัญหาการใช้ยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์: อาจชะลอการหลั่งให้นานขึ้นและมีผลเสียอื่นต่อสุขภาพด้านอื่น ๆ

การวินิจฉัยภาวะหลั่งช้า

1. การซักประวัติและประเมินอาการ

แพทย์จะถามประวัติอย่างละเอียด เพื่อประเมินว่าผู้ป่วยใช้เวลานานเท่าไรจนหลั่งได้ และเกิดขึ้นทุกครั้งหรือเฉพาะบางสถานการณ์ รวมถึงถามว่าเคยหลั่งได้ปกติหรือไม่ เพื่อแยกความผิดปกติแบบแรกเริ่มกับแบบเกิดภายหลัง นอกจากนี้ต้องถามว่าผู้ป่วยสามารถหลั่งได้ตามปกติเมื่อช่วยตัวเองหรือไม่ การตอบคำถามเหล่านี้จะช่วยวินิจฉัยว่าเป็นหลั่งช้าประเภทใดและหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม

2. การตรวจร่างกายและทดสอบทางห้องปฏิบัติการ

  • ตรวจระบบสืบพันธุ์และระบบประสาท: ตรวจสอบต่อมลูกหมาก ท่อหลั่ง และการตอบสนองของเส้นประสาท

  • ตรวจเลือด: ตรวจระดับฮอร์โมนเพศชาย ฮอร์โมนไทรอยด์ น้ำตาลในเลือด และโปรแลคติน เพื่อคัดกรองโรคทางกายที่อาจเกี่ยวข้อง

  • ตรวจวินิจฉัยอื่น: อาจทำอัลตราซาวนด์หรือส่องกล้องในรายที่สงสัยว่าท่อหลั่งอุดตันหรือมีเนื้องอก

  • การประเมินจิตใจและความสัมพันธ์: ตามไกด์ไลน์ของ AUA/SMSNA แนะนำให้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดทางเพศ เพื่อประเมินสภาพจิตใจและค้นหาปัจจัยทางจิตที่เกี่ยวข้อง

แนวทางการรักษาภาวะหลั่งช้า

เนื่องจากภาวะหลั่งช้ามีสาเหตุต่างกัน การรักษาจึงต้องปรับให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ทั้งนี้ยัง ไม่มี ยาที่ได้รับการรับรองจาก FDA สำหรับรักษา DE โดยเฉพาะ และการใช้ยาส่วนใหญ่เป็นการใช้นอกข้อบ่งใช้  (off-label) แนวทางรักษาที่ใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

1. การบำบัดพฤติกรรมและจิตใจ

  • การบำบัดทางเพศและจิตวิทยา: เน้นแก้ปัญหาความวิตกกังวล ความรู้สึกผิด หรือปมทางจิตซึ่งเป็นสาเหตุให้หลั่งช้า

  • ปรับพฤติกรรมช่วยตัวเอง: เปลี่ยนรูปแบบการช่วยตัวเองให้ใกล้เคียงกับการร่วมเพศจริง เพื่อปรับตัวและฝึกการควบคุมการหลั่ง

  • เทคนิคผ่อนคลายและสมาธิ: เช่น ฝึกหายใจลึก ๆ โยคะ หรือการทำสมาธิเพื่อลดความเครียด

  • เปลี่ยนท่าทางหรือสภาพแวดล้อม: คู่รักอาจลองปรับท่วงท่าหรือใช้เวลาเล้าโลมนานขึ้นเพื่อเพิ่มความเร้าอารมณ์ตามคำแนะนำของไกด์ไลน์ของ AUA

2. การจัดการปัจจัยทางกาย

  • ปรับหรือเปลี่ยนยา: หาก DE เกิดจากยารักษาโรค เช่น SSRIs, TCAs หรือยาลดความดัน แพทย์อาจปรับขนาดยาหรือเปลี่ยนเป็นยากลุ่มอื่น

  • รักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ: หากเกิดจากโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือปัญหาไทรอยด์ ควรรักษาโรคนั้นควบคู่

  • ให้ฮอร์โมนทดแทน: ในรายที่มีภาวะขาดเทสโทสเตอโรน การให้ฮอร์โมนทดแทนอาจช่วยฟื้นฟูความต้องการและการหลั่ง

3. การใช้ยานอกข้อบ่งใช้

ยังไม่มีหลักฐานมากพอสนับสนุนการใช้ยาชนิดหนึ่งชนิดใด แต่มีการทดลองใช้ยาหลายกลุ่ม ได้แก่:

  • ยากระตุ้นโดปามีน/นอร์อะดรีนาลีน: เช่น bupropion หรือ amantadine ซึ่งอาจช่วยในบางราย

  • ยา cyproheptadine

  • Dopamine agonist: เช่น cabergoline ใช้ในผู้ที่มีโปรแลคตินสูง

  • ยาอื่น ๆ เช่น buspirone, oxytocin, pseudoephedrine: มีรายงานบางชิ้น แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอและอาจมีผลข้างเคียง จึงควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์

4. การแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยาก

  • การเก็บอสุจิด้วยการกระตุ้นไฟฟ้าหรือการสั่น: ใช้อุปกรณ์กระตุ้นที่องคชาตหรือบริเวณฝีเย็บเพื่อให้สามารถหลั่งน้ำอสุจิออกมาแล้วนำไปทำเด็กหลอดแก้ว

  • Microsurgical Testicular Sperm Extraction (TESE): เจาะเก็บสเปิร์มจากอัณฑะเพื่อนำไปทำ ICSI สำหรับคู่ที่ไม่สามารถหลั่งได้เลยแต่ต้องการมีลูก

5. การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (Kegel Exercises)

การบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหรือ Kegel exercise เป็นวิธีง่ายๆ ที่ช่วยให้ผู้ชายควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งได้ดีขึ้น การเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณฝีเย็บซ้ำ ๆ สามารถช่วยเพิ่มความตระหนักและควบคุมการหลั่งได้

6. แนวทางใหม่และการรักษาในอนาคต

นักวิจัยกำลังศึกษาวิธีใหม่ เช่น การกระตุ้นระบบประสาทด้วยไฟฟ้า และ การใช้โมเลกุลใหม่ (เมลาโทนิน, คาร์บอนมอนอกไซด์, ไนตริกออกไซด์) อีกแนวทางคือเทคโนโลยี Hi-FEM (High‑Intensity Focused Electromagnetic) ซึ่งใช้คลื่นแม่เหล็กกระตุ้นกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน การศึกษานำร่องพบว่า HIFEM อาจช่วยเพิ่มความถี่การถึงจุดสุดยอดและความสุขทางเพศ แต่ยังไม่มีหลักฐานเฉพาะสำหรับผู้ที่มีภาวะหลั่งช้า และต้องการการวิจัยเพิ่มเติมในอนาคต


การป้องกันและการดูแลตนเอง

ภาวะหลั่งช้าบางสาเหตุไม่อาจป้องกันได้ เช่น ความเสื่อมตามวัยหรือโรคประจำตัว แต่ผู้ชายสามารถลดความเสี่ยงและบรรเทาปัญหาได้ด้วยการดูแลตนเองดังนี้:

  • ลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์และสารเสพติด: การใช้สารเหล่านี้เป็นเวลานานทำให้การตอบสนองทางเพศลดลง จึงควรหลีกเลี่ยง

  • พักผ่อนและออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอและนอนหลับเพียงพอช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดความเครียด

  • บริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: ฝึก Kegel exercises อย่างต่อเนื่องเพื่อตระหนักและควบคุมกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหลั่ง

  • พูดคุยกับคู่รัก: การสื่อสารอย่างเปิดใจถึงความรู้สึก ความคาดหวัง และปัญหา เพื่อลดความเครียดและสร้างความเข้าใจกัน

  • ดูแลสุขภาพโรคประจำตัว: รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น เบาหวาน ไทรอยด์ หรือต่อมลูกหมากอักเสบ


การใช้ชีวิตและการสื่อสารกับคู่รัก

การสื่อสารและความเข้าใจเป็นกุญแจสำคัญในการจัดการภาวะหลั่งช้า:

  1. เปิดใจพูดคุย: บอกคู่รักว่าปัญหาเป็นภาวะทางการแพทย์ ไม่ใช่ความผิดของใคร สื่อสารความรู้สึกและความต้องการอย่างตรงไปตรงมา

  2. หลีกเลี่ยงการตำหนิหรือการล้อเลียน: การใช้คำพูดในเชิงลบจะเพิ่มความเครียดและความวิตกกังวล

  3. ปรับมุมมองเรื่องเพศ: เซ็กซ์ไม่จำเป็นต้องจบด้วยการหลั่งของฝ่ายชาย การเน้นการเล้าโลมหรือใช้วิธีอื่นช่วยคู่รักถึงจุดสุดยอดก็ช่วยเติมเต็มความสุขได้

  4. เข้ารับการปรึกษาร่วมกัน: หากปัญหานี้สร้างความขัดแย้ง ควรปรึกษานักบำบัดทางเพศหรือนักจิตวิทยาร่วมกัน


สรุป

ภาวะหลั่งช้าเป็นความผิดปกติที่ส่งผลทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทำให้ผู้ชายบางคนใช้เวลานานมากหรือไม่สามารถหลั่งได้ การเข้าใจสาเหตุทั้งทางกายและจิตใจ การประเมินประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการประเมินสภาพจิตใจจะช่วยระบุปัจจัยที่ต้องแก้ไข การรักษามีหลายวิธี ตั้งแต่การบำบัดพฤติกรรม การปรับยา การรักษาโรคประจำตัว การใช้ยานอกข้อบ่งใช้ในบางราย ไปจนถึงแนวทางใหม่เช่น Hi-FEM แม้ยังต้องการการศึกษาเพิ่มเติม การสื่อสารที่ดีกับคู่รักและการดูแลตนเองเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ผู้ชายฟื้นฟูความมั่นใจและสุขภาพทางเพศได้ในระยะยาว

นพ.ธนาคม สุขเจริญ
แพทย์ด้านสุขภาพเพศ และแพทย์เฉพาะทาง Preventive Medicine

 

แหล่งอ้างอิง

https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/22125-delayed-ejaculation

https://auau.auanet.org/

https://www.verywellhealth.com/delayed-ejaculation-3300047

https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC5756804/#:~:text=1

https://www.longdom.org/open-access-pdfs/improving-male-pelvic-health-efficacy-of-hifem-muscle-stimulation-for-urinary-function-and-sexual-dysfunction-in-men.pdf#:~:text=Results%3A%20The%20study%27s%20findings%20indicated,Furthermore

บทความที่เกี่ยวข้อง