ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการระบาดของโควิด-19 การใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเสริม (Testosterone Therapy) ในผู้ชายได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ไม่ใช่แค่ในผู้สูงอายุเหมือนที่ผ่าน ๆ มา แต่ยังรวมถึงผู้ชายวัยหนุ่มและวัยกลางคนด้วย บทความมุมมองจาก University of Texas ได้ชี้ให้เห็นถึงข้อกังวลเบื้องหลังปรากฏการณ์นี้ และเสนอว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องมองสุขภาพของผู้ชายให้กว้างกว่าแค่เรื่องของฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว
การใช้เทสโทสเตอโรนเสริมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปี 2000 แต่ดูเหมือนว่าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ผู้วิจัยชี้ให้เห็นถึงปัจจัยหลายอย่างที่อาจอยู่เบื้องหลังเทรนด์นี้ ได้แก่
บทความได้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาสำคัญ 3 ประการที่มาพร้อมกับความนิยมในการใช้เทสโทสเตอโรนที่เพิ่มขึ้น
1. งานวิจัยไม่ตรงกับผู้ใช้จริง งานวิจัยขนาดใหญ่ที่ศึกษาด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยของเทสโทสเตอโรนเสริม มักทำในกลุ่มผู้ชายสูงวัย อายุเฉลี่ย 63-72 ปี แต่ในความเป็นจริง จากข้อมูลในปี 2022 พบว่าเกือบ 80% ของผู้ชายที่ใช้ฮอร์โมนเสริมมีอายุต่ำกว่า 65 ปี และกว่าหนึ่งในสี่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งหมายความว่า เรายังไม่มีข้อมูลด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในระยะยาวที่ชัดเจนสำหรับผู้ใช้กลุ่มใหญ่นี้
2. รูปแบบของฮอร์โมนที่ใช้มีความเสี่ยงต่างกัน งานวิจัยขนาดใหญ่มักใช้เทสโทสเตอโรนในรูปแบบเจลทาผิวหนัง แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ อย่างน้อย 60% ใช้ในรูปแบบยาฉีด
3. กับดัก “แก้ที่ตัวเลข” ที่อาจมองข้ามปัญหาสุขภาพที่แท้จริง แม้ว่าจะมีข้อมูลที่น่ากังวลว่าระดับเทสโทสเตอโรนโดยเฉลี่ยในผู้ชายกำลังลดลงทุกปี ๆ แต่การแก้ปัญหาด้วยวิธี ทำให้ตัวเลขน้อย ๆ กลับมาสูง อาจเป็นวิธีที่มองข้ามต้นตอของปัญหา ผู้เขียนเปรียบเทียบว่าวงการแพทย์เคยล้มเลิกแนวคิดคล้าย ๆ กันมาแล้ว เช่น การพยายามใช้ยาเพื่อเพิ่มไขมันดี (HDL) หรือการให้เลือดเพื่อทำให้ระดับฮีโมโกลบินกลับมาเป็นปกติ การมุ่งเน้นไปที่การรักษาตัวเลข ทำให้เราละเลยปัญหาสุขภาพพื้นฐานที่สำคัญกว่า เช่น โรคอ้วน การออกกำลังกายน้อย อาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ การนอนหลับที่ไม่เพียงพอ และปัญหาสุขภาพจิต
การใช้ฮอร์โมนเพศชายหลังโควิดเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนหนุ่ม แต่ยังไม่มีข้อมูลวิจัยที่ชัดเจนเพียงพอรองรับการใช้ระยะยาว การดูแลสุขภาพผู้ชายจึงควร มองให้กว้างกว่าแค่ตัวเลขฮอร์โมน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนการใช้ฮอร์โมนเสมอ
สิ่งสำคัญคือการปรับ วิถีชีวิต โภชนาการ การออกกำลังกาย การนอน และการดูแลสุขภาพจิต เพราะนี่คือรากฐานที่จะทำให้สุขภาพแข็งแรงยั่งยืนมากกว่าการพึ่งฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว